กฎหมายใหม่อัตราดอกเบี้ย...การแก้ไขที่ยังไม่รอบด้าน

กฎหมายใหม่อัตราดอกเบี้ย...การแก้ไขที่ยังไม่รอบด้าน

จากปัญหาทางสภาพเศรษฐกิจในประเทศช่วงที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ค่อนข้างสูง สภาพเศรษฐกิจไม่คล่องตัว

 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่มักเรียกกันว่าโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไม่น้อย ประชาชนจำนวนมากมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะภาคธุรกิจหรือประชาชนทั่วไปต่างก็ต้องรับภาระหนี้สินที่มากขึ้น และจากอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ 

ด้วยเหตุนี้เอง ทางภาครัฐบาลซึ่งเป็นห่วงต่อสภาพการณ์ดังกล่าวไม่น้อย จึงได้เร่งรัดการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงสภาพคล่องเพื่อฟื้นฟูกิจการ และลดภาระลูกหนี้ทุกกลุ่ม รวมถึงเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้จากการคิดดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมจึงได้ออก “พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564” มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในอัตราหรือวิธีการที่ก่อให้เกิดภาระแก่ลูกหนี้สูงเกินสมควร ดังได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่     10 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา

สาระสำคัญคือ (1) หากไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในนิติกรรมให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยอาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ของประเทศ  โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนทุก 3 ปี ให้ใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ (2) อัตราดอกเบี้ยผิดนัด ปรับเป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และ 3) กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น

โดยสรุปสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขคือ

  161970745183

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวใช้บังคับกับหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ  นับตั้งแต่วันที่กฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับแล้วเท่านั้น ซึ่งก็คือวันที่ 11 เมษายน 2564 ดังนั้น หนี้ที่ถึงกำหนดชำระก่อนหน้านั้น ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเดิม

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลดีต่อลูกหนี้ไม่น้อย โดยเฉพาะในกรณีผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัด หรือการคิดคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดเมื่อต้องผ่อนส่งเป็นงวด เพราะแม้การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไว้สูง จะเป็นเครื่องมือช่วยให้ลูกหนี้มีวินัยในการชำระหนี้ แต่กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเนื่องด้วยเหตุปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ภาระหนี้สินในส่วนดอกเบี้ยที่สูงจะยิ่งเพิ่มภาระให้แก่ลูกหนี้อย่างไม่เป็นธรรม  ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงทำให้ลูกหนี้ผิดนัดเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่สามารถหาเงินมาคืนเจ้าหนี้ได้ทัน อีกทั้งเจ้าหนี้บางรายอาจใช้การประวิงเวลาการฟ้องคดีเพื่อให้ได้เงินจำนวนมากขึ้นจากดอกเบี้ยดังกล่าวอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ปัญหาหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่เคยมีอยู่ และยังไม่มีการแก้ไขคือ ปัญหาเรื่องของเพดานอัตราดอกเบี้ยผิดนัด

ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดนั้น กฎหมายกำหนดเพียงว่า “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนด... ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น...”

ดังนั้นแล้ว หากตีความกันตรง ๆ จึงหมายความว่า เจ้าหนี้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราสูงเพียงใดก็ได้  ซึ่งเท่ากับว่าจะไม่เป็นการบรรเทาภาระหนี้สินของลูกหนี้ตามวัตถุประสงค์ของการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้เท่าใดนัก

ที่ผ่านมา แนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือการตีความว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วน เป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลสามารถปรับลดลงได้ตามที่เห็นสมควร  หรือการตีความให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วน ตกเป็นโมฆะและให้บังคับใช้ได้เฉพาะส่วนที่ไม่สูงเกินส่วน ด้วยเหตุผลว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในลักษณะดังกล่าวนั้นขัดต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

อย่างไรก็ดีแนวทางแก้ไขปัญหาในลักษณะดังกล่าวนั้น ก็มีประเด็นปัญหาในตัวเอง อันได้แก่ การที่จะต้องมีการดำเนินคดีทางศาล ซึ่งอาจต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนเพราะขึ้นกับดุลพินิจของศาลอีกด้วย

แนวทางการกำหนดเพดานสำหรับดอกเบี้ยผิดนัดนั้น  ควรคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ว่าจะไม่เป็นภาระต่อลูกหนี้จนเกินพอดี ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อตัวลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพราะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาหนี้เสียที่มีสาเหตุจากภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปรับที่สูงขึ้นเกินกำลังของลูกหนี้อีกด้วย นอกจากนี้แล้วอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้นั้น ควรสะท้อนต้นทุนความเสี่ยงของลูกหนี้ ต้นทุนค่าเสียโอกาสของเจ้าหนี้จากการที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ และต้องสะท้อนความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นกับเจ้าหนี้ด้วย

ดังนั้นแล้ว ก็ได้แต่ตั้งความหวังไว้ว่า จะมีการแก้ไขกฎหมายโดยพิจารณาเรื่องของเพดานสำหรับดอกเบี้ยผิดนัดไว้ด้วย

บทความโดย ผศ.ณิชนันท์ คุปตานนท์

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์