งานที่หายไปตอนโควิด-19 อาจจะไม่กลับมา
โควิดทำให้ธุรกิจหลายประเภทต้องพบกับสถานการณ์ที่ลูกค้าแทบหายไปจนหมด เป็นการหายไปอย่างต่อเนื่องยาวนานจนไม่รู้ว่าลูกค้าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่
โดยเฉพาะธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จำนวนคนตกงาน จำนวนคนที่ชั่วโมงทำงานลดลง และจำนวนคนที่เสี่ยงจะตกงานเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ หลายสำนักได้ประมาณการกันไว้ว่าตัวเลขรวมของคนสามกลุ่มนี้น่าจะไม่น้อยกว่า 2 ถึง 5 ล้านคน ตัวเลขนี้ดูเหมือนสูง แต่ความจริงแล้ว ตัวเลขอาจสูงได้มากกว่านี้อีก เพราะตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบสืบเนื่องในภาคเศรษฐกิจอื่นที่เริ่มจะเผยอาการให้เห็นชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563
แผนภูมิที่แสดงไว้เป็นอัตราการอัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้มีงานทำที่เป็นลูกจ้างจำแนกตามประเภทของธุรกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 เทียบกับไตรมาสที่ 3 ในปี 63 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นความรุนแรงของการตกงานในธุรกิจนั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจตัวแทนธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุด ลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในธุรกิจนี้ลดลงไปถึงราว 30.42% ธุรกิจที่พักแรมและบริการด้านอาหารมีอัตราที่น้อยกว่าโดยลดลงราว 6.78%
อัตราการเปลี่ยบนแปลงของผู้มีงานทำที่เป็นลูกจ้างในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 เทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2562
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจคือ ธุรกิจที่มีอัตราการลดลงมากที่สุดอันดับที่ 2 ถึงอันดับที่ 5 คือ การผลิตรองเท้าและเครื่องหนัง การผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ บริการด้านความสวยงาม และการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง แต่เป็นธุรกิจที่พึ่งพอการส่งออกและกำลังซื้อภายในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าผลจากโควิดได้แพร่ไปแทบทุกภาคเศรษฐกิจแล้ว
ตั้งแต่ปลายปี 63 จนถึงวันนี้เราได้รับทราบข่าวของโรงงานที่ต้องปิดกิจการอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่ได้เป็นการปิดชั่วคราว เพราะมีการจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายก่อนปิดกิจการ การเลิกจ้างในลักษณะนี้ หากต้องกลับมาเปิดกิจการอีกครั้งจะมีต้นทุนในการจ้างสูงขึ้น นายจ้างเองก็รู้ดีว่า ถ้าจ้างคนกลับมาทำงานเหมือนเดิม ในอนาคตหากต้องเจอกับสถานการณ์ที่บีบให้ต้องเลิกจ้างขนานใหญ่แบบนี้อีก ก็จะเกิดต้นทุนซ้ำขึ้นมาเป็นมูลค่าที่สูง ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุด หากต้องการจ้างคนกลับมาทำงานคือการปรับโครงสร้างธุรกิจ แล้วเลือกเฉพาะคนที่ทำงานเก่ง ทำงานดี ทำงานได้หลากหลาย เพื่อให้ธุรกิจมีความคล่องตัวสูง รวมถึงจะต้องใช้คนให้น้อยที่สุด
การเลือกใช้คนให้น้อยที่สุดหมายความว่า ถ้าวันนี้มีคนตกงาน 100 คน เกิดปีหน้าเศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนเดิม ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจเหล่านี้จะจ้างคนกลับมาร้อยคนเหมือนเดิม มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า ธุรกิจอาจจ้างคนกลับมาเพียง 50 ถึง 60 คนเท่านั้น ส่วนคนอีก 40 ถึง 50 คนที่เหลือต้องไปหางานในธุรกิจอื่น อุตสาหกรรมอื่น หรืออาจต้องพาครอบครัวย้ายถิ่นเพื่อไปหางานเสียด้วยซ้ำ
จริง ๆ แล้วหาเจาะลึกไปยังกลุ่มที่ตกงานในทุกธุรกิจ แรงงานที่มีทักษะฝีมือต่ำมีโอกาสตกงานก่อน ด้วยระดับฝีมือแบบนี้ การไปหางานใหม่ในธุรกิจอื่นหรืออุตสาหกรรมอื่นย่อมเป็นเรื่องยาก ได้งานที่ค่าตอบแทนต่ำ การจ้างงานเป็นสัญญาจ้างชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ย่อมกระทบต่อความมั่นคงในชีวิตของตัวเองและครอบครัว
แล้วแรงงานเหล่านี้มีทางเลือกอะไรเหลือให้กับตัวเองบ้าง?
เขาจะหางานใหม่โดยใช้ทักษะที่มีอยู่ก็คงได้งานระดับพอเอาตัวรอดไปวัน ๆ เท่านั้น หากจะออกมาทำอาชีพอิสระในตอนที่เศรษฐกิจไม่ดี โอกาสขาดทุนมีสูง ใครโชคดีหน่อยมีบ้านในชนบทให้กลับ ก็ยังพอประคองตัวไปได้ แต่ถ้าไม่มีที่ให้กลับไปแล้วล่ะ พวกเขาจะทำยังไง?
การคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือแรงงานเหล่านี้ที่ต้องตกงานด้วยเหตุปัจจัยที่ไม่ปกติ และเป็นการตกงานแบบถาวร การออกแบบนโยบายเพื่อบรรเทาผลกระทบนี้จะใช้สูตรสำเร็จเหมือนตอนเศรษฐกิจตกต่ำในอดีตไม่ได้ เพราะบริบทแตกต่างกัน
ทางออกที่ยังมองไม่เห็นควรเริ่มจากการยอมรับความจริงว่า เราได้เข้าสู่โลกที่ไม่เหมือนเดิม นโยบายการสร้างงานที่นำมาใช้จึงต้องแตกต่างไปจากเดิมด้วย โดยควรเริ่มจากการยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า จากนี้ไปในบางธุรกิจคนจะกลายเป็นภาระที่ธุรกิจต้องทำให้เหลือน้อยที่สุด.