นิราศโควิด 2563

 นิราศโควิด 2563

วันนี้ “ศุกร์ เว้น ศุกร์” มาเยือนคุณ ด้วยบันทึกความทรงจำเรื่องโควิด ที่กระหน่ำจนทำให้ปี “ชวด” ของเรา ต้องชวดสมชื่อ

ผมเริ่มบันทึกเหตุการณ์ไว้ ตั้งแต่โควิดมาเยือนตอนต้นปี จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งในวันสิ้นปี ทุกอย่างช่างเงียบเหงาและวังเวง เพราะ โควิด ได้กลับมากระหน่ำเรา เป็นรอบที่สอง

 เชิญรำลึกเรื่องราวและอารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ได้เลยครับ.....

             เกิดมาชีวิตนี้  ไม่เคยมีไม่เคยเห็น

       เรื่องจริงมิใช่เล่น ราวกับเป็นภาพยนตร์

                     โรคเริ่มที่อู่ฮั่น คนที่นั่นอลวน 

                     ทุกผู้ทุกตัวตน ทุกๆคนไม่พ้นภัย

             ผู้ใดได้สัมผัส เหมือนเป็นหวัดและมีไข้

       โควิดมหาภัย พรากคนไปในเร็ววัน

                     ทีมแพทย์พยาบาล ใจกล้าหาญไม่หวาดหวั่น

                     รวมทีมเข้าสู้มัน และยังหมั่นป้องกันตน

             วิกฤติที่อู่ฮั่น ทุกๆวันตายหลายคน

       หมอสู้อย่างอดทน แต่ไม่พ้นต้องตายตาม

                     ทั้งเมืองถูกสั่งปิด ทุกชีวิตสุดเกรงขาม

                     อยู่บ้านกันทุกยาม รัฐสั่งห้ามต้องเชื่อฟัง

             พอจีนเริ่มคุมได้  ไวรัสไปอีกหลายฝั่ง

       ไทยแลนด์ก็สุดยั้ง เพราะจีนยังมาเที่ยวไทย

                     กุมภา-มีนาเพลีย โรคลามเลียไปแสนไกล

                     ยุโรปเป้าต่อไป แบบฉับไวไม่ตั้งตัว 

             อิตาลีและอังกฤษ ไวรัสติดกันไปทั่ว

       ยอดตายเพิ่มระรัว โอ้น่ากลัวเสียเหลือเกิน

                     กลับมาที่เมืองไทย เรารวมใจไม่ห่างเหิน

                     ทุกฝ่ายร่วมเผชิญ เราจะเดินไปด้วยกัน

             หน้ากากอนามัย ต้องสวมใส่ทุกทุกวัน

       แต่แหล่งผลิตนั้น ทำไม่ทันเร่งกันไป

                     ไม่ใส่เราก็เสี่ยง คนเลวเลี่ยงค้ากำไร

                     กักตุนหน้ากากไว้  ไม่มีใครแก้ได้จริง

             หมอยังขาดหน้ากาก แสนลำบากเป็นอย่างยิ่ง

       คนชั่วเงินเข้าสิง คนกลอกกลิ้งปั่นราคา

                     คนมีหน้ากากเหลือ ช่วยเอื้อเฟื้อชาวพารา

                     บ้างเย็บหน้ากากผ้า แจกทั่วหน้าให้ปลอดภัย

             เจ้าสัวลงร้อยล้าน สร้างโรงงานเสร็จเร็วไว

       บริจาคหน้ากากให้ หมอได้ใช้ทั่วทุกคน

                     แม้มีหน้ากากใส่  แทบไม่ไปสักแห่งหน

                     ไม่กล้าเข้าใกล้คน ต้องอดทนห่างไกลกัน

             มือไม้กลายเป็นสื่อ ต้องล้างมือแทบทั้งวัน

       น่ากลัวไปทั้งนั้น ทุกอย่างพลันยุติลง

                     สงกรานต์เดือนเมษา รัฐไม่กล้าจะเสริมส่ง

                     ห้ามจัดกันตรงๆ ให้สรงน้ำที่บ้านตน

             ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ใครที่มีแผนไปยล

       ยุติในบัดดล ไม่มีคนที่กล้าไป

                     เครื่องบินค่าหมื่นล้าน จอดบนลานบานตะไท

                     ขาดทุนตั้งเท่าไหร่ การบินไทยก็ต้องปลง

       ไม่กล้าไปทำงาน ต้องอยู่บ้านทำงานส่ง

       เศรษฐกิจไม่ยืนยง บอกตรงๆทรุดอีกนาน

                     งานหายรายได้บิ่น แม้นักบินยังตกงาน 

                     คนจนน่าสงสาร ขาดอาหารเลี้ยงกายา

             ผู้คนต้องเข้าคิว เพราะโหยหิวและโหยหา

       อาหารเอื้อกันมา ชาวพาราพอประทัง

                     บางคนเป็นผู้ให้ แต่หัวใจสะอื้นดัง

                     โรงแรมของตนยัง ไม่มีหวังให้เห็นเลย

             คนที่พอมีเหลือ ก็เอื้อเฟื้อไม่เมินเฉย

       น้ำใจสุดเปรียบเปรย คนไทยเอยปันสุขกัน

                     คนงานที่หมดเงิน ต้องรีบเหิรกลับบ้านพลัน

                     ลาวเขมรพม่านั้น มาถึงวันต้องกลับเมือง

             ห้างร้านบริษัท ล้วนติดขัดสิ้นฝันเฟื่อง

       เล็กใหญ่เคยรุ่งเรือง ทุกฟันเฟืองสะดุดลง

                     รัฐต้องเข้าอุ้มช่วย ห้างร้านม้วยไม่เหลือหลง

                     ทุกคนไม่มั่นคง จะยืนตรงได้อย่างไร

             บางคนที่ตกงาน อยู่กับบ้านไม่ไปไหน

       บางคนสู้ต่อไป หาอะไรมาขายดู

                     หลายคนน่าชมนัก ไม่หยุดพักให้อดสู

                     เป็นคนที่ฮึดสู้ มิใช่อยู่รอชะตา

             ท่องเที่ยวรายได้หลัก ติดหล่มปรักรอเวลา

       ชาติไหนก็ไม่มา เพราะเหตุว่าเราล็อคดาวน์

                     เดือดร้อนกันต่อเนื่อง กลายเป็นเรื่องที่อื้อฉาว

                     เถียงกันค่อนข้างยาว ถามกันพราว “ล็อคทำไม?”

             ฝ่ายล็อคก็บอกว่า ต้องรักษาชีวิตไว้

       อีกฝ่ายสะกิดใจ “ล็อคต่อไป ตายทุกคน

                     ถึงเดือนพฤษภา ที่ทำมาเริ่มเห็นผล

                     คนไทยไม่ปะปน เชื้อโรคล้นเริ่มลดลง

        รัฐเริ่มจะคลายล็อค พร้อมย้ำบอก “การ์ดต้องทรง

       แต่ก็ไม่ยืนยง เพราะการ์ดตรงไม่กี่วัน

                     เหล้าเบียร์พอเริ่มขาย ทั้งหญิงชายเข้าแย่งกัน

                     คนไทยไม่อดกลั้น ห้างเปิดพลันเบียดกันไป

             ทำท่าเหมือนลืมหมด ความกลัวหดหายไปไหน

       ส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจ ใยคนไทยไม่ไตร่ตรอง

                     หมอเตือนโรคระบาด จะผงาดเป็นรอบสอง

                     ไม่ช่วยกันประคอง เดี๋ยวจะร้องว่า...“เสียใจ

 ....นำเสนอได้เพียงเท่านี้ครับ เพราะไม่มีพื้นที่เพียงพอ ที่จะลงพิมพ์ทั้งหมด แต่ถ้าอยากอ่านนิราศฉบับสมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนอารมณ์และบรรยากาศ ที่รวม 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีไว้ด้วย จนทำให้วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เต็มไปด้วยความหวั่นวิตก ก็คลิกไปได้ที่ facebook  ของผม Warapatr Todhanakasem อ่านฟรีครับ!

 มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ พอโควิดเริ่มจาง เราก็เลิกกลัวและเริ่มประมาท จนมันกลับมารอบสองจนได้ เอาเป็นว่าปีใหม่ 2564 ขอให้เราปราบโควิด ได้อีกครั้ง และขอให้คุณผู้อ่านและครอบครัว จงแคล้วคลาดจากโควิดกันทุกคน

 นิราศโควิด 2563 จบสมบูรณ์แล้วครับ แต่บรรยากาศนี้ 8 มกราคม 2564 ดูเหมือนว่า ผมอาจจะต้องเริ่มเขียน นิราศโควิดฉบับ 2564...อีกแล้วก็ได้

 สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับคุณ แต่ก่อนจบ ผมอยากส่งคำถามไปยัง เจ้าโคโรน่าไวรัส ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านเมืองเรา สัก 1 คำถาม ว่า....

  “เมื่อไรเอ็งจะ...นิราศไปจากพวกเรา ซะที (วะ)?”