'อิหลักอิเหลื่อ'แก้โควิด ทำโรคแพร่กระจาย
โควิดระบาดรอบใหม่คราวนี้ท่าทางจะสกัดกั้นการแพร่กระจายได้ยาก ซึ่งต่างจากครั้งแรกที่เต็มไปด้วยปัจจัยโชคดีหลายประการ
แม้ว่ารัฐดูเหมือนตระหนักว่าการระบาดรอบนี้หนักกว่ารอบที่แล้วและประกาศกึ่งล็อกดาวน์กันตั้งแต่ 4 มกราคม แต่ดูแล้วยังมีปัจจัยที่จะเกิดการ “อิหลักอิเหลื่อ” กันอยู่ทั้งกับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเอง ชาวบ้านปกติ คนเสี่ยงติดเชื้อ และผู้ประกอบการเอกชนต่าง ๆ ที่จะทำให้มาตรการต่าง ๆ ประสบความสำเร็จด้วยยาก นอกเหนือจากปัจจัยที่มันก็ยากอยู่แล้ว เช่น เวลานี้เป็นฤดูหนาว ชาวบ้านเกร็งกันทั้งปีจนผ่อนคลายและการ์ดตกไปเยอะแล้ว หรือ วัคซีนก็ยังไม่มา
ทำไมไทยจึงป้องกันโควิดไว้ได้นานร่วมปี แต่รอบใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ท่าจะยากต่อการรับมือ เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัย ความสำเร็จในอดีตยกให้กับความร่วมมือทั้งโดยสมยอมและจำใจของทุกภาคส่วนในช่วงต้นของสถานการณ์หรือครึ่งปีแรกของปี 2020 ทั้งภาครัฐที่กำชับอย่างเข้มงวดมากจนเศรษฐกิจพังไปกับมือก็ยังต้องเข้มไม่ผ่อน ประชาชนที่หวาดกลัวโรคนี้มากกว่าประเทศอื่น ปฏิบัติตัวเป๊ะ และภาคเอกชนที่ปรับตัวตาม แต่หลังจากที่ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศกันมานานร้อยกว่าวัน ทุกฝ่ายก็ผ่อนคลาย ครั้นจะกลับไปปฏิบัติกันจริงจังเหมือนก่อน ก็คงต้องใช้เวลาในการตระหนักอีกสักหน่อยว่าภัยรุกขึ้นมาถึงตัวจริง ๆ
อย่างน้อยมี 4 ประการที่ก่อให้เกิดการย้อนแย้งกัน เริ่มจากการจัดการกับคนแพร่เชื้อที่เป็นผู้กระทำผิดตามกฏหมายก่อนเลย พวกนี้ที่กระทำความผิดก่อนแพร่เชื้อ เช่น ลักลอบเล่นการพนัน ลักลอบค้าแรงงาน ลักลอบเข้าประเทศ แม้ว่าทางการรณรงค์ให้เปิดเผยตัวออกมาตรวจฟรี แต่โทษตามกฎหมายยังมีอยู่ ไม่สามารถยกเว้นได้ เมื่อออกจาก รพ.หรือตรวจรักษาเสร็จต้องรับโทษต่อ จึงทำให้คนเหล่านี้หลบเลี่ยงหลบหนีความจริง เรียกว่าถ้าไม่ป่วยหนักหรือโดนสอบสวนโรคจนพบก็จะไม่ยอมมาตรวจหรือแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ ครั้นจะยกเลิกโทษก็ไม่ได้ ได้แต่บอกว่าให้คนเหล่านั้นมาตรวจโรคก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ในเมื่อประกันความรอดความผิดของเขาไม่ได้ มันก็หนีต่อไป
ขณะที่แรงงานต่างด้าวและบุคคลกลุ่มเสี่ยงจำนวนหนึ่งได้รับการตรวจฟรี แต่คนที่ดูหมือนเสี่ยงต่ำจำนวนมากกว่าหลายเท่านั้นไม่ได้สิทธิตรวจฟรีไปด้วย ค่าตรวจราคาแพงหลายพันบาท ทำให้ประชาชนไม่
กล้าไปตรวจ รพ.ก็ไม่กล้าให้ตรวจฟรี เช่นเดียวกับที่รัฐก็ไม่รุกเข้าตรวจมากพออีก เนื่องจากทั้งไม่มีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอว่าประชาชนเหล่านี้มีความเสี่ยง ครั้นจะให้ตรวจทุกคนแบบโอเพ่นก็ไม่มีวัคซีนพอ หรือเกรงจะสิ้นเปลืองมหาศาล ผลก็คือ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวจากการคนปกติที่ไปที่สัมผัสคนติดเชื้อตามสถานที่ต่าง ๆ ที่การสอบสวนโรคไปไม่ถึง
การที่เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการเกรงใจกัน กลัวกระทบชื่อเสียงภาพลักษณ์ กลัวกิจการเจ๊งหรือกลัว
ถูกฟ้อง ทำให้การช่วยปกปิดข้อมูลการไปไหนต่อไหนเป็นเรื่องปกติ แม้แต่การประกาศผลการสอบสวนโรคออกสู่สาธารณะยังเกรงใจไม่บอกบางสถานที่อย่างชัดเจน ไม่บอกชื่อโรงแรมกักตัว ไม่บอกชื่อ รพ.เอกชนที่รักษา ยิ่งสถานที่สีเทาอย่างบ่อนหรือเส้นทางอโคจร แม้แต่คนไปก็ไม่อยากเปิดเผยตัว ก็ทำให้คนละแวกนั้นหรือคนไปใช้บริการต่อขาดการระมัดระวังและเสี่ยงติดเชื้อได้ แต่จะให้เปิดเผย ก็เกรงจะพานิคไปกันใหญ่อีก
การห้ามจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เห็นว่าไม่มีความเป็นเอกภาพ แล้วแต่การตัดสินใจของส่วนกลาง หรือจังหวัด หรือวิจารณญาณของผู้จัดกิจกรรมเองบ้างนั้น แท้ที่จริงก็มาจากวัฒนธรรมเกรงใจกันแบบไทย ๆ นั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่หากไม่เกรงใจกันประกาศปิดโน่นปิดนี่ เศรษฐกิจแย่ลงกว่าเดิมมาก ผลกระทบด้านอื่นจะตามมา เมื่อประชาชนเหลืออดก็อาจจะทำอะไรอย่างที่คาดเดาไม่ได้ อาจทำตั้งแต่ฆ่าตัวตายไปจนถึงก่อจลาจล ก่อปัญหาหนักกว่าตอนนี้เสียอีก การอิหลักอิเหลื่อในการดำเนินการที่เห็นภาพชัดที่สุดก็เรื่องจะปิดหรือเปิดเมืองนี่ล่ะ ใจหนึ่งก็อยากพักรอให้เชื้อตายให้หมด อีกใจก็ต้องการเงินตราจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยเทศเข้ามาหมุนเวียนเยียวยาเศรษฐกิจ การรณรงค์ส่งเสริมท่องเที่ยวช่างมีความขัดแย้งกับการรณรงค์ให้อยู่แต่ในที่จำกัดและรักษาระยะห่างทางสังคมแบบยากที่จะไปด้วยกันได้
ด้วยเหตุผลข้างต้นการประกาศนโยบายและบังคับใช้ของฝ่ายรัฐก็ต้องหาจุดสมดุลกันให้ได้ แต่เรื่องแบบนี้ยากที่จะหาจุดสมดุล เศรษฐกิจเราไม่ใหญ่พอที่จะปิดประเทศแล้วดูแลจนโควิดมันหาย ขณะที่เงินเราก็ไม่พอต่อการจัดหาวัคซีนหาเตียงหาหมอดูแลคนป่วยเรือนหมื่นเรื่องแสนพร้อมกัน เจ้าหน้าที่จะตั้งการ์ดตลอดเวลาก็ไม่ไหว เมื่อยแขนแย่ ประชาชนจะป้องกันอย่างไรได้ตลอดเวลา หากจะอดตายก็ต้องละเมิดมาตรการควบคุมกันบ้าง เช่นเดียวกับธุรกิจที่ใช่ว่าจะปรับตัวเป็นกันทุกแห่ง ถึงตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้มีปัจจัยบวกอื่นเข้ามามาก ๆ เช่น โรคมันซาลงไปเอง หรือ มีผู้บริหารเก่งๆ เข้ามาแก้ไขปัญหาสาหัสนี้