3 ธีมใหญ่ของการลงทุนปี 2021

3 ธีมใหญ่ของการลงทุนปี 2021

นับเป็นเวลาประมาณ 6 เดือนแล้วที่ผมได้มีโอกาสเป็นผู้ดำเนินรายการ CSI Live ใน Facebook ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ตอนเวลา 1 ทุ่ม

รายการจะเชิญวิทยากรและเซียนหุ้นระดับประเทศมาพูดคุยในรายการตั้งแต่ เซียนมี่ (อจ. ทิวา ชินธาดาพงศ์) อจ. ปิง ประกิต สิริวํฒนเกตุ อจ. วิศิษฏ์ องค์พิพัฒนกุล อจ. นิพนธ์ สุวรรณประสิทธิ์ และอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย ตอนแรกผมเองก็รู้สึกเหมือนงานปกติที่ผมเข้าไปทำ คือผมไม่ได้ตั้งใจฟังหรือมีความสนใจมากเท่าไหร่นัก ผมแค่มองว่าผมแค่มาแนะนำตัวให้วิทยากร และพูดปิดรายการก็เป็นอันสิ้นสุด 

ปรากฏว่าพอผมเริ่มเปิดใจฟังมากขึ้นและศึกษาไปด้วยในสิ่งที่อาจารย์แต่ละคนคอยพูด และเอามาเทียบกันว่าเรื่องไหนที่อาจารย์แต่ละคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมีค่ามหาศาลเพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนบางท่านมองไม่เห็น หรือการลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทที่บางคนอาจจะมองว่าเสี่ยงสูง แต่จริงๆแล้วอาจจะได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดและไม่ได้เสี่ยงอย่างที่คุณคิด ในครั้งนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหน และ ตลาดไหนที่น่าจับตามองในปีหน้าครับ 

ธีมแรกที่ผมอยากจะเอ่ยถึงมากที่สุดคือ ตลาดหุ้นเวียดนาม ตอนช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามทำผลงานได้ดีเป็นอย่างมากโดยที่ตลาดหุ้นทำผลงานขึ้นมา 18.6% จากไตรมาสที่แล้ว อีก 1 เหตุผลที่จะทำให้ตลาดหุ้นสามารถเติบโตได้ไกลในปี 2021 คือ ตลาดหุ้นคูเวต หรือ ตลาดหุ้น KSW เข้าสู่ Emerging Market จากการเป็น Frontier Market ทำให้เหลือแค่ตลาดหุ้นเวียดนามที่ยังจะเป็นหัวเรือใหญ่ในตลาด Frontier Market ซึ่งการลงทุนและการเติบโตของธุรกิจในเวียดนามกำลังเป็นที่จับตามองในกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะในฝั่งของอเมริกาและยุโรป นอกจากนั้นบริษัทใหญ่ๆจากทั่วโลกก็เข้าไปลงทุนและพากันสร้างโรงงานที่นั่น เนื่องจากแรงงานเวียดนามสามารถหาได้ง่ายกว่าทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทำให้บริษัทอย่าง Samsung และ Apple มีโรงงานที่นั่นกันแล้ว โดย Apple ยังวางแผนว่าจะผลิตตัว AirPods Max หูฟังรุ่นใหม่ของ Apple ที่นั่นด้วย ในไทยเองมีหลายๆหลักทรัพย์ที่เปิดให้เราสามารถซื้อกองทุนรวมหุ้นเวียดนามกันได้อยู่หลายที่ ซึ่งเงินขั้นต่ำในการลงทุนก็ไม่มากซะด้วย สามารถไปจับจองกันได้ครับ 

ธีมที่สองที่ผมอยากจะพูดถึงคือ หุ้นเทคโนโลยีของจีน หุ้นเทคโนโลยีของจีนนั่นมีอยู่ด้วยกันอยู่หลายตัวตั้งแต่ อาลีบาบา (BABA) เจดีดอทคอม (JD) เน็ทอีสท์ (NTES) เทนเซน (TCEHY) หรือแม้กระทั่งหุ้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของจีนอย่าง นีโอ (NIO) หุ้นจีนทุกวันนี้มีอยู่ทั้งหมด 3 ตลาดด้วยกันครับ ตลาดแรกคือตลาดหุ้นเซินเจิ้น หรือเรียกสั้นๆว่าหุ้น A-Share ตลาดที่สองคือตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ หุ้น H-Share และตลาดหุ้นสุดท้ายที่หุ้นจีนอยู่คือตลาดหุ้นนิวยอร์ก หรือ หุ้น ADR หุ้นบางตัวมีหุ้นอยู่มากกว่า 1 ตลาดอย่างเช่น หุ้นของเทนเซน ที่มีทั้งในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (TCEHY) และตลาดหุ้นฮ่องกง (0700)

 

ผมมองว่าในอนาคตอันใกล้หุ้นเทคโนโลยีของจีนน่าจับตามองเป็นอย่างมาก แต่ล่าสุดรัฐบาลจีนเริ่มมากำชับบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆจากการที่ให้ระงับการออก IPO ของบริษัท Ant Financial Group ที่เป็นเจ้าของ Alipay ที่เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีผู้ใช้บริการอยู่ทั้งหมด 900 ล้านคน ดังนั้น ต้องลองติดตามกันดูว่าในอนาคตอันใกล้หุ้นจีนจะสามารถเป็นหุ้นหลายเด้งได้อย่างหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอย่างกลุ่ม FAANG ที่ประกอบไปด้วย Facebook Apple Amazon Netflix และ Google ได้หรือไม่

 

ธีมที่สาม และธีมสุดท้ายที่น่าจะมาแรงในปีนี้อีกเช่นกันคือ บิทคอยน์ เมื่อสามวันที่ผ่านมาที่ผมได้เริ่มเขียนบทความนี้ ราคาของบิทคอยน์พุ่งจาก 23,200 เหรียญสหรัฐต่อ 1 บิทคอยน์ มาเป็นจุดสูงสุดที่ 28,422 เหรียญต่อ 1 บิทคอยน์ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่า 22.5% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น และถ้านับจากต้นเดือนมูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นมาเกือบ 50% ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ นี่เป็นราคาที่สูงที่สุดของเหรียญนี้ตั้งแต่การกำเนิดของบิทคอยน์ตอนปี 2009 ซะด้วย ทำให้มูลค่าของตลาดบิทคอยน์มากกว่ามูลค่าของบริษัท Visa เสียอีก นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของวงการคริปโตเคอเรนซี่เป็นอย่างมาก อย่างที่ผมได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ว่า ผมชอบตลาดของคริปโตเคอเรนซี่ตรงที่ว่าตลาดไม่มีวันปิด คุณสามารถทำกำไรและขาดทุนตอนที่คุณนอนอยู่ ซึ่งผมมองว่าตลาดนี้มีอนาคตเป็นอย่างมากตรงที่ว่า สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่จบง่ายๆ ทำให้หลายๆประเทศอาจจะยังต้องพิมพ์เงินออกมาเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้สินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัดอย่างเช่น ทอง และ บิทคอยน์ มีโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่าอีกมากมายในอนาคตอันใกล้

 

สุดท้ายนี้ผมอยากฝากนักลงทุนว่า เดิมทีนักลงทุนจะมีกฎเหล็กของการลงทุนอยู่ข้อหนึ่งคือ ห้ามสูญเสียเงินต้น ดังนั้นเราจึงมองว่า การลงทุนในทรัพย์สินอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงที่ต่ำ และการลงทุนในพวกกองทุนรวม หุ้น ทองคำ หรือ น้ำมัน เป็นความเสี่ยงที่สูง แต่นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาที่รัฐบาลสหรัฐทำ QE หรือพิมพ์แบงค์ออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่นั้นมาสินทรัพย์ที่เรามองกันว่าปลอดภัยกลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยมูลค่าลงไปเรื่อยๆ

 

ยิ่งช่วงรอบปีที่ผ่านมากับเหตุการณ์โควิด-19 ยิ่งทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่าง ยุโรป สหรัฐ รวมไปถึงญี่ปุ่น ต่างพากันออกแผนช่วยเยียวยาเศรษฐกิจจากการพิมพ์แบงค์ ทำให้ทรัพย์สินที่มีจำกัดอย่างเช่น ทองคำ กลับเพิ่มมูลค่ามากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่เราต้องมานั่งวิเคราะห์ว่าค่าความเสี่ยงที่เราพูดถึงกันอยู่บ่อยๆว่า การที่เราลงทุนในหุ้น มันอาจจะมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนก่อนตัดสินใจ เป็นวลีที่เราได้ยินมาทุกยุคทุกสมัย ทุกวันนี้อาจจะต้องนำวลีนี้ไปใช้กับตราสารหนี้ และ พันธบัตรรัฐบาลไปด้วยแล้วครับ จากปัจจัยที่เราเองก็ไม่สามารถควบคุม

บทความโดย *ทิวัตถ์ ชุติภัทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ CSI Society

https://www.facebook.com/CsiSociety