ธุรกิจโรงสีข้าวเป็นกลไกที่สำคัญของอุตสาหกรรมข้าวที่จะช่วยให้บรรลุยุทธศาสตร์ได้ มูลค่าของอุตสาหกรรมโรงสีข้าวอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนล้านบาทต่อปี
จากยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 มีเป้าหมายต้องการให้ไทยเป็นผู้นำด้านการผลิต การตลาดและผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูปในตลาดโลก โดยเฉพาะนโยบาย 'ตลาดนำการผลิต' ธุรกิจโรงสีข้าวเป็นกลไกที่สำคัญของอุตสาหกรรมข้าวที่จะช่วยให้บรรลุยุทธศาสตร์ได้ มูลค่าของอุตสาหกรรมโรงสีข้าวอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนล้านบาทต่อปี ธุรกิจโรงสีข้าวมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับชาวนาไทย 4.5 ล้านครัวเรือน ที่เป็นเกษตรกรหลักของประเทศ โรงสีข้าวลำบากชาวนาก็ยิ่งลำบาก ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย สถานการณ์ของธุรกิจโรงสีข้าวปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับวิกฤติ ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนต้องเลิกกิจการไม่น้อยกว่า 30% และมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารเพิ่มขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันแก้ไข
จากประมาณการยอดสินเชื่อที่ให้แก่โรงสีรวมทุกธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3/2563 ประมาณ 86,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อที่ให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวอีกประมาณ 74,300 ล้านบาท รวมเป็นยอดสินเชื่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวทั้งหมด 160,300 ล้านบาท จากการพบปะกับเจ้าของโรงสีหลายราย สอบถามข้อมูลเบื้องต้นคาดว่าจะมีโรงสีที่อยู่ในกลุ่มสีแดง ที่ธนาคารได้ทำการปรับโครงสร้าง แก้ไขหนี้ แต่ไม่สามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขได้วงเงินไม่น้อยกว่า 20,000 ถึง 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก
ความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่จะแก้ไขปัญหา ช่วยกันประคับประคองกันไป ก็จะช่วยให้ให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ เริ่มตั้งแต่ผู้ประกอบการโรงสีข้าวที่จะต้องแสดงความจริงใจในการเจรจาหาทางออกกับธนาคาร เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ แก้ไขหนี้ ให้ความสำคัญกับข้อตกลงในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวงเงินที่ใช้ กับสต๊อกข้าวเปลือกและข้าวสาร จัดทำบัญชีที่ถูกต้องมีบัญชีเพียงบัญชีเดียว เพิ่มช่องทางหารายได้ เช่นการผลิตข้าวถุงขาย การขยายกิจการด้านพลังงาน ปรับปรุงกระบวนการผลิต การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เช่นการทำงานในเวลากลางคืนเป็นต้น
สถาบันการเงินที่อำนวยสินเชื่อให้กับโรงสีข้าวคือธนาคารพาณิชย์ ปัจจุบันมีความเข้มงวดในการอำนวยสินเชื่อ จัดกลุ่มธุรกิจโรงสีข้าวเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง พยายามลดพอร์ตสินเชื่อโรงสีข้าว บางรายถูกลดวงเงิน Packing Stock PN จนไม่สามารถรับซื้อข้าวจากชาวนาได้ ถ้าไม่มีข้าว ก็ไม่ได้สีข้าวจนต้องหยุดกิจการ ไม่สามารถชำระหนี้กับธนาคารได้ เกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว (cliff effect)
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 กรมการค้าภายในได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของโรงสีข้าว ขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ ไม่ให้ปรับลดวงเงินสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าว เพิ่มวงสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ เป็น 80% ของมูลค่าสต๊อกข้าวที่ใช้เป็นหลักประกัน ขอกันวงเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวตามมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft LoAn) อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี และขอความร่วมมือธนาคารแห่งประเทศไทย ประสานทำความเข้าใจกับธนาคารพาณิชย์ในการลดเงื่อนไขในการให้สินเชื่อ
ปัญหาการขาดสภาพคล่องของโรงสีข้าวเป็นเรื่องที่จะต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน และต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ตรงจุด ไม่เหมารวมกับการช่วยเหลือทั่วไป ต้องช่วยเหลือ ห้โรงสีข้าวผ่านวิกฤติ จนสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีทีมงานพิเศษที่เข้าใจธุรกิจโรงสีข้าว การแก้ไขหนี้ การเพิ่มวงเงิน มีความจำเป็นเช่น การพักชำระหนี้ ให้วงเงินหมุนเวียนเพิ่ม แบ่งรายได้ชำระหนี้เดิม การควบคุมการเบิกเงิน การใช้จ่ายของโรงสี การกำหนดเงื่อนไขดูแลทั้งขารับ และขาจ่ายโดยการเปิดบัญชีระหว่างชาวนา โรงสี และผู้รับซื้อข้าว ต้องผ่านธนาคารทั้งหมด
เงื่อนไขที่สำคัญในการอำนวยสินเชื่อคือการควบคุมดูแลสต๊อกข้าวเปลือกและข้าวสาร ต้องสัมพันธ์กับวงเงินที่ใช้ไป ต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้
ภาครัฐจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือ เช่นการลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน มาตรการทางด้านภาษี การส่งเสริมพัฒนาคุณภาพข้าว การแสวงหาตลาดใหม่
ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก โรงสีข้าว ชาวนา ธนาคารพาณิชย์ จะต้องร่วมมือกันเอาชนะให้ได้ เพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมข้าวต้องพังไปทั้งระบบ.......