ให้กำลังใจทุก‘โมเดล’
นับแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลโดย ศบค.ได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและผ่านการคัดกรองตรวจโควิด 19 เข้าประเทศได้
โดยต้องกักตัวแบบเลือกสถานที่หรือมีออฟชั่นให้เลือกได้ รวมทั้งบรรดานักธุรกิจที่จะเข้ามาในแบบระยะกลางและระยะยาว กินเวลาได้ถึงหนึ่งปีขอขยายเวลาได้อีก ถือเป็นความพยายามอีกรอบของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก
ในฐานะประชาชนคนไทยเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย ผมมีแต่สนับสนุนหากมีหนทางใดจะทำให้คนไทยทุกหมู่เหล่าลืมตาอ้าปากได้ แต่ก็ยังไม่อาจวางใจว่ามาตรการแนวทางที่ออกแบบมานี้จะได้รับการตอบรับทั้งจาก “คนที่จะเข้ามา” และ “คนในของเราเอง” มากน้อยประมาณใด
เพราะในบางพื้นที่ ประชาชนจำนวนมากที่วันนี้ติดตามข่าวสารได้หลากหลายหนทาง ต่างรับรู้ดีว่า การแพร่ระบาดของโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาดกระจายไปทุกแห่งหนบนโลกใบนี้ ถือว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทยที่นอกจากมาตรการที่ใช้บังคับแล้วได้ผล แต่คนจำนวนมากแม้ไม่ใช่แพทย์ยังเชื่อว่า ด้วยสภาพภูมิอากาศสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ไม่เหมาะกับการแพร่ระบาดของโรคชนิดนี้ บางคนคิดไปไกลกว่านั้น เพราะเชื่อว่า “ความเป็นคนไทย” คือ มองไปถึงเรื่องชาติพันธุ์กันเลยว่า คนไทยทั้งหลายอาจมีดีเอ็นเอหรืออาจมีภูมิคุ้มกันกับโรคเหล่านี้ในขั้นที่หากไม่หนักหนาสาหัสก็คงรับมือได้
ที่มีคนเชื่อดังว่าก็เพราะก่อนที่เราจะมีมาตรการอันเข้มข้น ล็อกดาวน์ตามที่องค์การอนามัยโลกและบางประเทศริเริ่มดำเนินการขึ้นมา ในขณะนั้น ซึ่งเวลาผ่านมาสี่ห้าเดือนเท่านั้น คงจำได้ดีว่า เรายังเปิดโอกาสให้คนบินเข้าบินออก สถานบันเทิง สนามกีฬา ที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์โรคขนานใหญ่ยังคงเปิดกันอย่างไม่มีใครรู้สึกว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง
กระทั่งมีดารานักแสดงและคนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ มีอาการป่วย แต่เมื่อตรวจสอบกักตัวและตามล่าหาคนที่แวดล้อมได้ครบถ้วนแล้ว ก็พบว่า ส่วนใหญ่หายจากอาการของโรค บางคนแทบไม่มีอาการแถมยังบ่นยังตำหนิอาหารการกินในสถานพยาบาลผ่านโลกออนไลน์กระทั่งทัวร์ลงไปหลายคน
ที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ต้องการให้ทุกคนตั้งอยู่บนความประมาท เพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า “ความเป็นคนไทย” น่าจะมีบางสิ่งบางอย่างบนสมมติฐานว่า เป็นตัวช่วยในการต้านทานกับโควิด 19 ได้ แต่คิดมุมกลับ หากมันพัฒนากลายพันธุ์เป็น โควิด 20 หรือ 21 ต่อไปจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้น หลายคนยังปรารภกับผมซึ่งผมเห็นด้วย เพราะคิดว่าในเวลาที่การแพร่ระบาดของโควิดกำลังเริ่มต้นเมื่อห้าหกเดือนที่ผ่านมา บอกได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นไปตามสมมติฐานที่ผมคาดเดา กับความเข้มแข็งในการทำหน้าที่ของทุกฝ่าย คงไม่อาจประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ณ วันนั้นได้
เวลานั้น ข้าวของเครื่องใช้หยูกยา หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ กลายเป็นของหายากประดุจทองคำ ผมดั้นด้นค้นหาสิ่งที่เอาไว้ป้องกันตัวเองกับคนในครอบครัว กระทั่งไปเจอร้านขายยาแถวราชวัตรที่ถือว่าใจดีเพียงร้านเดียว ที่ยังขายแอลกอฮอล์ขวดละเกือบร้อยบาทให้ ทั้งที่ส่วนใหญ่จะติดป้ายหน้าร้านไว้ว่า“ของหมด หรือไม่มีจำหน่าย”
ด้วยความที่เขาอาจเคยเห็นผมในทางสื่อต่างๆ เขาพูดขึ้นมาด้วยประโยคที่บ่งบอกอะไรในสังคมของเราหลายอย่าง เขาพูดขึ้นว่า “อาจารย์ฯ อยู่ในสภายังต้องมาซื้อของพวกนี้ใช้เองด้วยเหรอ” ทำให้ผมนึกไปถึงเพื่อนบางคนที่เจียดแอลกอฮอล์มาให้ใช้ เขาบอกว่า ได้มาจากน้องสาวที่เขาไม่บอกว่าไปได้ของมาจากที่ใด แต่บอกว่า ปันมาให้เพราะน้องสาวจะเอาไปฝากรัฐมนตรีที่ดูแลกันอยู่
ถ้าเป็นจริงตามนี้ คนมีเงินมีฐานะตำแหน่งโอกาสตายย่อมน้อยกว่าคนที่ไร้เส้นสาย นี่คือความเหลื่อมล้ำที่พูดกันมาตั้งแต่ผมอยู่ในสภาปฏิรูปประเทศ (สปช.) มาเห็นเด่นชัดในวันนี้ ไม่ต้องการหลักฐานอ้างอิงเพราะเป็นประสบการณ์ตรง
ทำให้นอกจาก “ให้กำลังใจแล้ว” ยังต้องแสดงความห่วงใย หวังว่า เงินที่ประมาณการที่คาดว่าจะได้ราวสองพันล้านบาทต่อเดือนจะคุ้มค่าและไม่เป็นต้นเหตุให้พวกเราต้องกลับมาเจอกับเคอร์ฟิว หรือ ไปกระทบการทำมาหากินของภาคส่วนอื่นๆ ที่จะกลายเป็นสิ่งที่คนมักพูดกันว่า รุนแรงยิ่งกว่า “สึนามิทางเศรษฐกิจ” อันหนักหน่วงเหนือคำบรรยายใดๆ