ลงมือจัดการงานที่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก เขาจึงไม่พลาดเรื่องใหญ่ในแต่ละวัน
ยุครอยต่อของสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลกช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีชื่อ "แอนดรูว์ คาร์เนกี" เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่สร้างรากฐานด้านอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย จนเขาขึ้นแท่นเป็นเจ้าของวิสาหกิจที่ใหญ่ที่สุด ทำรายได้มากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1890 ถึงจะมีกิจการนับร้อยแห่ง และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย
แต่แอนดรูว์ คาร์เนกี ยังคงฟังความเห็นของเหล่าที่ปรึกษาธุรกิจอยู่เสมอ เพราะเขาเชื่อว่าธุรกิจของเขาแม้จะเติบโตจนเป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแล้วแต่ก็ยังมีช่องว่างให้ปรับปรุงเพิ่มเติมได้อีก
แต่เมื่อถึงจุดที่อุตสาหกรรมพัฒนาถึงขีดสุด จนดูเหมือนไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก แอนดรูว์ คาร์เนกี จึงไม่สนใจรายงานหลายร้อยหน้าที่ทีมที่ปรึกษานำเสนอ แต่ขอให้สรุปเป็นข้อแนะนำสั้นๆ หรือเล่าให้ฟังง่ายๆ ว่า เขาควรทำอย่างไรเพื่อจัดการธุรกิจขนาดยักษ์เหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพที่สุด แน่นอนว่านี่เป็นงานยากของที่ปรึกษา เพราะแนวทางที่นำเสนอให้แอนดรูว์ คาร์เนกี ส่วนมากได้ใช้เป็นนโยบายในการทำงานอยู่แล้ว หากเสนอไปซ้ำก็ไม่รู้จะเสนอทำไม หรือจะแนะนำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ก็แทบไม่มีอะไรน่าสนใจจนดูแล้วไม่น่าจะคุ้มที่ต้องจ่ายค่าที่ปรึกษา
แต่ท้ายที่สุด แอนดรูว์ คาร์เนกี ได้คำแนะนำที่เขาถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้บอกว่าให้ขยายธุรกิจไปทางไหน หรือต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม เพราะที่ปรึกษาแนะนำเพียงว่า เมื่อเค้าตื่นขึ้นมาตอนเช้าให้เขียน 10 เรื่องที่ควรทำในแต่ละวัน พร้อมเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่นี่คือคำแนะนำที่แอนดรูว์ คาร์เนกี ถือว่ามีค่ามากที่สุด เพราะวันหนึ่งเรามีเวลาคนละ 24 ชั่วโมงเท่าเทียมกัน หากขยันทุ่มเทเต็มที่ก็คงทำงานได้ราวๆ 12-14 ชั่วโมง เวลาเท่านี้สำหรับคนที่มีธุรกิจมากมายมหาศาลอย่างแอนดรูว์ คาร์เนกี จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะจัดการทุกเรื่องได้หมด เช่นเดียวกับคนทำงานส่วนใหญ่ที่พบว่าตัวเองจมอยู่กับงานจนไม่อาจจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามแผนได้
แอนดรูว์ คาร์เนกีให้สัมภาษณ์ว่าเขาใช้หลักการนี้มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับคำแนะนำ จึงตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้กับที่ปรึกษาคนนี้ถึง 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทียบค่าเงินในยุคปัจจุบันได้ประมาณเกือบ 3 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียวเพราะเขาถือว่าเป็นคำแนะนำที่ได้ผลมากที่สุด การจัดลำดับความสำคัญของงานในแต่ละวันทำให้เราแยกแยะได้ระหว่างงานอย่างแรกคืองานด่วน ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นไฟไหม้ น้ำท่วม ที่เป็นเหตุสุดวิสัยและต้องจัดการอย่างทันทีโดยไม่มีข้อแม้ กับอย่างที่ 2 คืองานที่ไม่สำคัญไม่เร่งด่วนซึ่งเรามักจะเสียเวลากับมันโดยไม่จำเป็น
ตัวอย่างของงานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน แต่เรากลับใช้เวลากับมันโดยไม่จำเป็นคือการติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียทั้งหลาย เช่นไลน์ เฟซบุ๊ค ที่เรามักจะติดนิสัยรีบตอบทันทีทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เรื่องด่วนแต่อย่างใด ซึ่งกรณีที่ 2 นี้จะทำให้เราสับสนกับกรณีที่ 3 คือเป็นเรื่องไม่สำคัญแต่เร่งด่วน ซึ่งคนจำนวนมากแยกไม่ออกจึงใช้เวลาไปกับโซเชียลมีเดียมากเกินความจำเป็น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว หากเป็นเรื่องสำคัญ จริง ๆ อาจใช้การโทรศัพท์จะเหมาะสมมากกว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จได้จึงต้องแยกแยะกรณีที่ 2 และ 3 ออกจากกันได้ และรีบจัดการกับกรณี ที่ 4 คือเรื่องสำคัญและจำเป็นที่สุดเป็นอย่างแรกในแต่ละวัน ซึ่งจะทำให้เราจัดการเรื่องที่ส่งผลกระทบถึงอนาคตเราได้ก่อนเป็นอย่างแรกเสมอ