'บทเรียนประวัติศาสตร์' การโค่นรูปปั้นบุคคลสำคัญ

'บทเรียนประวัติศาสตร์' การโค่นรูปปั้นบุคคลสำคัญ

การประท้วงกรณีนายจอร์จ ฟลอยด์ ส่วนหนึ่งมาจากการปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุของตำรวจ ส่งผลกระทบในวงกว้าง เชิงการเมือง สังคม และประวัติศาสตร์

การเดินขบวนประท้วงต่ออำนาจรัฐและการได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมนั้น  เริ่มที่สหรัฐ และก็ได้ลุกลามเป็นการประท้วงในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะที่ยุโรป ในเชิงสังคม ประชาชนออกมาแสดงความเห็นและมีปฏิบัติการเพื่อกระตุ้นสร้างจิตสำนึกต่างๆในเชิงสัญลักษณ์มากมายทั่วโลก ทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง

อีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจ คือ มิติทางประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้เช่นกัน การกดขี่และความอยุติธรรมมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ การรบฆ่าฟัน ปล้นสะดม ถือเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิล่าอาณานิคม ที่มีความเชื่อว่าชนชาติของตน ส่วนใหญ่มักจะเป็นชนผิวขาวนั้นมีความสูงส่งกว่าทุกชนชาติ โดยเนื้อแท้แล้วการล่าอาณานิคมนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูดทรัพยากรของดินแดนอื่นๆเพื่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของชนชั้นนำของประเทศเจ้าอาณานิคม

ความขัดแย้งระหว่างประวัติศาสตร์กระแสหลักที่ถูกเขียนขึ้นจากมุมมองของผู้ชนะกับอีกกระแสอันเป็นเรื่องราวของผู้แพ้ ที่เปรียบเทียบได้เหมือนเหรียญที่มีสองด้านนั้น ถูกยกขึ้นมาถกเถียงและมีความพยายามจะหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นอยู่หลายครั้งทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งประวัติศาสตร์กระแสหลักที่มักเชิดชูชนผิวขาว ความเป็นชายชาติทหารก็ยังคงเป็นแนวคิดที่ยืนยงคงอยู่ตั้งแต่อดีตยังปัจจุบัน

การประท้วงทำลายรูปปั้นและอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญต่างๆในยุโรปนั้น แสดงให้เห็นอีกด้านของประวัติศาสตร์ เพราะเหรียญมีสองด้าน ประวัติศาสตร์จึงมีหลายมิติมุมมองบุคคลที่ได้รับการเชิดชูจากฝ่ายหนึ่งอาจเป็นที่เกลียดชังอย่างมากจากอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นได้ การมองประวัติศาสตร์จึงต้องมองอย่างเปิดใจและเป็นกลาง

การค้นพบ “โลกใหม่” ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสนั้น แท้จริงแล้วก็คือการยึดครองทวีปอเมริกา โดยใช้กำลัง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การปล้นชิงทรัพยากรโดยเฉพาะทองคำ นำส่งกลับไปยุโรป นี่คือเหตุผลว่าทำไมรูปปั้นนี้จึงถูกโค่นทำลายในรัฐมินิโซตา สหรัฐ

ความพยายามขยายอาณานิคมของเบลเยียม ภายใต้โครงการส่วนพระองค์ของพระเจ้าเลออปอลที่ 2 ที่เข้ายึดครองคองโก ในทวีปแอฟริกา ความรุนแรงโหดร้าย การค้าทาส และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นั้นก็คือเหตุผลว่า  ทำไมรูปปั้นของกษัตริย์พระองค์นี้จึงถูกโค่นลง เช่นเดียวกับ เอ็ดเวิร์ด โคลสตัน พ่อค้าทาสที่รูปปั้นถูกโค่นลงที่อังกฤษ

มีความพยายามในการชำระประวัติศาสตร์ในทางสันติ ผ่านการประท้วงอย่างสันติ การรวบรวมรายชื่อเพื่อเคลื่อนย้ายรูปปั้นอย่างสันติ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันแต่ก็ไม่เป็นผล เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงอีกมิติ จนกระทั่งความทันสมัยของเทคโนโลยี ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงความจริงได้อย่างอิสระ มิได้ติดอยู่ในกรอบของประวัติศาสตร์กระแสหลักอีกต่อไป

มุมมองเมื่อท่านผู้อ่านท่องเที่ยวชมปราสาทราชวังโบราณ เห็นหินก้อนใหญ่ๆปูเป็นถนน หรือเห็นเพชรลูกใหญ่เม็ดงามบนมงกุฎจะเปลี่ยนไป หากท่านเปิดใจ มองประวัติศาสตร์ในอีกมุมมองหนึ่ง ความยิ่งใหญ่ของปราสาทหรือเพชรเม็ดงาม อาจจะต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแร้นแค้นของคนกลุ่มหนึ่งก็เป็นได้

เราในฐานะคนไทยสามารถเรียนรู้ได้อย่างมากจากกรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การเปิดใจยอมรับความเห็นต่าง การเปิดโอกาสให้ถกเถียงด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง และการยอมรับความเป็นจริง ซึ่งนี่คือหนึ่งในหลักการของประชาธิปไตยที่เรามีเสรีที่คิดเองได้ เลือกที่จะเชื่อได้ พูดและแสดงออกในสิ่งที่เราคิดได้ เพราะเรามีอิสระ ภายใต้ความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วยเช่นกัน