'กรณีไวรัสโควิด-19' ความกลัวทำให้เสื่อมจริงๆ!

'กรณีไวรัสโควิด-19' ความกลัวทำให้เสื่อมจริงๆ!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา แท้จริงปัญหาในชีวิตของคนเราที่ไม่เคยจบสิ้น

เพราะมีมูลเหตุมาจากความกลัว อันเกิดจากความเขลา ซึ่งมีรากฐานมาจาก อวิชชา!!

คำว่า “ความกลัวทำให้เสื่อม” นั้นน่านำมาพิจารณาว่า เสื่อมจากอะไรบ้าง

จากกรณีที่ประชาคมโลกต้องเผชิญกับโรคันตภัย ทุพภิกขภัย อมนุสสภัย ดังที่ปรากฏในกาลปัจจุบัน ซึ่งหลายเรื่องราวพอจะแก้ไขได้ แต่หลายเรื่องราวก็ยังยากที่จะแก้ไข ด้วยคนในโลกมองปัญหา ด้วยปัญหา มิได้มองปัญหาด้วยปัญญา จึงเสียท่ามาร ทำให้ก่อเกิด ราคะ โทสะ โมหะ กลุ้มรุมดังที่ปรากฏ

การปรากฏของไวรัสโควิด-19 ที่เป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานของคนเราในสังคมปัจจุบันว่า มีสามัญสำนึกเป็นอย่างไร ตรงนี้น่านำมาศึกษาเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา

ทำไม ไวรัสโควิด-19 ซึ่งแสดงการปรากฏกายของมฤตยู จึงสามารถเขย่าขวัญชาวโลกได้อย่างสาหัสสากรรจ์ จนคนจำนวนไม่น้อยหวาดผวา ถอยสติ ขาดปัญญา นำไปสู่การวิตกกังวลหวาดระแวง ให้ไร้ประโยชน์ ให้เป็นโทษต่อกัน เมื่อมีการรังเกียจรังแกกัน อันเกิดจากความเห็นแก่ตัว กลัวตาย ดังปรากฏในโลกสื่อสารไร้พรมแดน

การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบสัตว์อิงสัญชาตญาณ จึงเกิดปรากฏให้เห็นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างไม่น่าจะเชื่อว่า นี่ คือ สัตว์ประเสริฐ เมื่อมีการใช้วาจากิริยาท่าทางเสียดสีรังเกียจใส่กันและกัน ด้วยเพียงแค่ หวาดระแวงสงสัยอย่างไร้เหตุผลในสถานภาพของฝ่ายตรงข้ามตน..

มุสาวาทาบานทะโรค แพร่สะพัดอย่างรุนแรง ยิ่งกว่าไวรัสทุกชนิดในสภาพสังคมเช่นนี้ จนออกอาการกัดกร่อนคุณความดีในจิตใจ ให้เจ็บไข้ได้ป่วยกันอย่างแสนสาหัสในหมู่สัตว์ที่ขาดสติปัญญา ละทิ้งศีลธรรมอันดี

ทั้งหมดทั้งหลายมาจากภาวะความกลัวที่บีบเค้นบีบคั้นจนเกิดความ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส อย่างหนัก จึงเห็นผลภาวะอวิชชาที่เติบใหญ่ ให้ยากมองเห็นสัจธรรม ความจริงที่เป็นธรรมดาอันปรากฏมีอยู่ในโลกนี้ จึงนำไปสู่อคติธรรมกันอย่างเต็มรูปแบบ ในสังคมที่ทรุดโทรมพรหมวิหารธรรม

แม้จะมีคนดีอยู่บ้าง กลับกลายเป็นเสียงข้างน้อยของสังคม จึงยากจะชักนำเพื่อนมนุษย์ไปสู่เส้นทางที่ถูกควรได้ โดยเฉพาะหากคนดีขาดความเข้มแข็ง อ่อนแอ หรือ ดีไม่จริง !

การจะแยกแยะว่าเป็นคนดี หรือคนชั่ว คนพาลหรือบัณฑิต จริงๆ แล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก หากได้อยู่ร่วมกัน เห็นพฤติกรรมซึ่งกันและกัน หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกันและกัน โดยยึดหลักธรรมที่ว่า บัณฑิตหรือคนดี ย่อมดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา จักรู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคาย เพื่อรู้เท่ารู้ทันในเรื่องราวนั้นๆ และสามารถจำแนกแจกแจงให้เห็นเหตุ เห็นผล ได้ตรงตามความเป็นจริง จนนำไปสู่การขจัดปัญหานั้นให้สิ้นไปได้ไม่ยาก ด้วยหลักการแก้ที่เหตุแห่งปัญหานั้น

บัณฑิต กับ คนพาล จึงมีความแตกต่างกัน ตรงที่ว่า จะแก้ปัญหาด้วยปัญญาหรือด้วยความรู้สึก จะแก้ที่ต้นเหตุหรือปลายเหตุ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน เหมือนเรื่องที่นิยมยกมาเปรียบเทียบว่า

เสือย่อมกระโดดสวนทางลูกธนูที่ถูกยิงเข้ามา เพื่อเข้าไปหาผู้ยิง ในเมื่อรู้สึกว่าตนถูกยิง แต่สุนัขย่อมขบกัดตรงปลายไม้ที่มีผู้นำมาแหย่แสร้งจะตี ซึ่งเรื่องนี้สามารถทดสอบได้ว่าเป็นจริง เมื่อหมาที่วัดจะรีบขบกัดไม้ที่จะตีเขา โดยไม่ได้ใส่ใจผู้ตีที่เป็นต้นเหตุสำคัญ

ในพระพุทธศาสนา จึงสั่งสอนให้เราแก้ไขปัญหาที่เหตุ โดยสืบสาวหรือสอบสวนให้รู้ชัดว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร อะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อดับปัญหาที่เหตุ อันเป็นการคิดพิจารณาตามหลักอิทัปปัจจยตา หรือวิธีคิดพิจารณาแบบอริยสัจสี่

การพิจารณาโดยแยบคายด้วยสติปัญญา เพื่อความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนั้นๆ แท้จริงเป็นการเดินหน้าเข้าหาตัวปัญหาอย่างกล้าหาญ องอาจ สมชาติสัตว์ประเสริฐ ไม่ใช่การหลีกหนีปัญหาด้วยความวิตกกังวล จนสูญเสียความเป็นสัตว์ที่สร้างสติปัญญามาใช้งานได้

มูลเหตุของความเสื่อมจากคุณค่าความดี จากฐานะสัตว์ประเสริฐ ที่ควรมีเมตตากรุณา ต่อกัน คือ ความกลัวก็จักสูญสิ้นไป หากรู้จักใช้หลักโยนิโสมนสิการตามที่กล่าวมา

ความกลัวแท้จริงจัดอยู่ในประเภทความหลง คือ โมหะจิต สะท้อนให้เห็นพฤติจิตที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจของอวิชชา อันมีความทุกข์เป็นปริโยสาน จึงไม่แปลกที่ภาวะสังคมในขณะนี้หมกหมักอยู่ด้วย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส อย่างมากกว่าค่าปกติที่เคยมี

การยึดถือยึดมั่นในตนเอง นี่คือฉัน ร่างกายนี้เป็นของฉัน ความคิดนี้ของฉัน ความคิดนี้คือฉัน ความคิดนี้คือเธอ จึงนำไปสู่การแบ่งฝักฝ่าย ถือตน ถือตัว พวกมึง พวกกู จึงเกิดขึ้น และนั่นคือปรากฏการณ์ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมของมนุษยชาติ ด้วยความกลัว (อวิชชา) เป็นเหตุ สมคำที่ว่า ความกลัวทำให้เสื่อมจริงๆ !!

 

เจริญพร