ทำไมเอว่เฟยจึงต้องตาย? 2 เหตุผล ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์(1)

อารัมภบท
ประวัติศาสตร์มักจะกล่าวถึงเรื่องราวในอดีตอย่างสั้นๆ ได้ประเด็นสำคัญเท่านั้น จึงมักไม่มีรายละเอียดความเบื้องหลัง
เรื่องที่คัดมานี้กล่าวถึงบริบทโดยรอบที่ทำให้เอว่เฟยต้องตาย
ภูมิหลัง
ภาคเหนือของจีนตั้งแต่ตะวันตกไปจรดตะวันออก มีชนกลุ่มน้อยที่สลับหน้ากันมารังควานราชวงศ์ที่เป็นชาวฮั่นในที่ราบภาคกลาง โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามยุคสมัย ราชวงศ์จิน (金) เรืองอำนาจในระหว่าง ค.ศ 1115-1234 เป็นชนเผ่าหนวี่เจิน อาณาจักรเริ่มต้นครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนปัจจุบัน และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอุสซูรีจรดมหาสมุทรแปซิฟิก แม้หลังล่มสลายด้วยมองโกลแล้ว หนวี่เจินส่วนหนึ่งกลายมาเป็นชนเผ่าแมนจูที่ก่อตั้งราชวงศ์ชิง
เอว่เฟย
ในปีค.ศ. 1140 หวันเหวียนอู้จู๋ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจิน ฉีกสนธิสัญญาสันติภาพ นำทัพใหญ่เคลื่อนผ่านไคฟง (开封) เมืองหลวงของเป่ยซ่ง พุ่งเป้ามาทางแม่น้ำไฮหวและแยงซีเกียง พระจักรพรรดิซ่งเกาจงหรือเจ้าโก้ว ไม่อาจไม่ส่งกองทัพเข้ารบด้วย
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เจ้าโก้วลดพระองค์ด้วยความอัปยศ ร้องขอสันติภาพก็เพื่อรักษาตำแหน่งพระ จักรพรรดิและไม่เปิดโอกาสให้ทหารสร้างความดีความชอบ เจ้าโก้วยอมรับที่จะยกเลิกชื่อราชวงศ์ “ซ่ง” ส่งบรรณาการปีละ 250,000 ชั่งให้แก่จิน ทั้งยังยอมให้ฉินกุ้ย สมุหนายก คุกเข่าแทบเท้าราชทูตของจิน รับฟังคำตำหนิจากเบื้องบนด้วยความนอบน้อม
เจ้าโก้วในปี 1140 เปรียบเสมือนถอดกางเกงจนล่อนจ้อน ทนก็แล้ว ยอมก็แล้ว คุกเข่าก็แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่สามารถแลกสันติภาพมาได้ ประเทศจินยกฝ่ามือตบหน้า เพียะ! เพียะ! เพียะ! เจ้าโก้วก็ยังเอาไม่อยู่ เมื่อมันไม่ได้เรื่องก็รบเสียเลย “เราจะใช้สงครามกระชุ่นสันติภาพ”
แม่ทัพหลายสายของอาณาจักรซ่งใต้ ต่างก็เป็นคนทางเหนือ จึงมีความเดือดแค้นกับประเทศ จิน อยากจะตีกลับไปให้ถึงบ้านเกิดวันรืนวันพรุ่ง รื้อฟื้นขุนเขาและแม่น้ำแห่งต้าซ่งที่เคยมีมา พวกเขาไม่มีแผนในใจอย่างเจ้าโก้ว เพียงแต่มีที่เลือดพลุ่งพล่านอยู่เต็มอก พวกเขาเพียงไม่ทราบว่าเลือดที่เร่าร้อนของแม่ทัพก็เป็นเครื่องมือของจักรพรรดิและสมุหนายกได้
ในปักษ์หลังของเดือนห้า กองทัพของหวันเหวียนอู้จู๋ ประชิดกำแพงเมืองซุ่นชาง (เมืองฟู่หยาง ในมณฑลอันฮุยปัจจุบัน) ซึ่งก็ไม่ไกลจากแม่น้ำแยงซีเกียงแล้ว ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้ เจ้าโก้วคงต้องไปใช้เวลา ตรุษจีนที่เมืองอู่เฉิง (เมืองหลวงของจิน) แล้ว
ดังนั้น ราชสำนักจึงโปรดให้ หานซื่อจง (韩世忠) จางจวิ้น (张俊) และเอว่เฟย (岳飞)เป็นแม่ ทัพสายเหอหนาน เหอเป่ย แถมยังได้รับแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์ เป็นเกียรติด้วย กองทัพของซ่งและ จินยันกันที่กวนจง (关中 บริเวณมณฑลส่านซีปัจจุบัน) เอว่เฟยมีหน้าที่ช่วยเหลือซุ่นชางแต่ยังไป ไม่ทันถึง แม่ทัพหลิวฉีตีแตกพ่ายเสียก่อน หวันเหวียนอู้จู๋ถอยไปทางเหนือถึงไคฟง
ในขณะนั้น ราชวงศ์ซ่งกลายเป็นฝ่ายที่มีอำนาจกระทำ ขอเพียงรวบรวมกำลังทหารรุกขึ้นเหนือ ไม่ใช่จะไม่มีโอกาสเอาที่ราบภาคกลางคืนมา แต่พระบรมราชโองการกลับมาถึงแล้ว พระองค์ส่งขุน นางระดับ 6 (ซือโหนงเส้าชิง/司农少卿) ชื่อ หลี่รั่วซวี (李若虚) มาอ่านพระรมราชโองการว่า “อย่าขยับ กำลังทหารแม้แต่น้อย ควรจะยกทัพกลับ”
สถานการณ์กำลังดียิ่ง เอว่เฟยไม่อยากจะทิ้งไปจริงๆ แต่จะทำยังไงดีล่ะ เผอิญหลี่รั่วซวีก็เป็นฝ่ายต้องการรบด้วย ทั้ง 2 คนจึงไม่สนใจพระบรมราชโองการและมุ่งตีคืนที่ราบภาคกลางเป็นหลัก แต่การขัดพระบรมราชโองการมีโทษตัดหัว ในเมื่อราชการบ้านเมืองเดิมพันอยู่ที่การรบครั้งนี้แล้ว ทั้ง 2 คนก็ไม่กลัวตัดหัว เอว่เฟยนำทัพขึ้นเหนือ ส่วนหลี่รั่วซวี่กลับไปราชสำนักเพื่อรับโทษขัดพระราชโองการ
เอว่เฟยยืนบนกำแพงเมืองของเต๋ออันฝู่ (德安府) หันไปทางเหนืออันเป็นที่ราบภาคกลางที่อยู่ ข้างหน้า หนวดยาวปลิวสะบัด มองด้วยสายตาที่แน่วแน่ “การฟาดฟันที่มีมา 13 ปีก็เพื่อวันนี้ เอาเลย!”
เอว่เฟยเป็นลูกชาวนาในมณฑลเหอหนาน และเป็นชาวนาที่ยากจนมาแปดชั่วอายุคนพอดี ไม่มีกำลังอะไรที่จะเรียนหนังสือตอนเด็กๆ จึงประมาณว่าอยู่ในขั้นดีกว่าไม่รู้หนังสือหน่อยหนึ่ง ในตอนหลังที่สามารถเขียนกาพย์ “หมั่นเจียงหง” (满江红/แดงทั้งแม่น้ำ) จึงถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้เองจนปราด เปรื่อง เมื่อโตขึ้นก็รีบแต่งงานมีลูก จึงมีวิกฤตชีวิตที่ “เบื้องบนมีคนแก่ เบื้องล่างมีเด็กๆ” ตั้งแต่ยังไม่ บรรลุนิติภาวะ
เขาก่อนหลังเข้ากองทัพที่เหอเป่ย ซานซีและเหอหนานอาศัยฝีมือเพลงอาวุธที่ “ไร้เทียม ทานของอำเภอ” เริ่มต้นด้วยเป็นหน่วยกล้าตาย ร้องตะโกนรบรามาตลอดจนได้เป็นถึง ชิงเหวี่ยนจวิน เจี๋ยตู้สื่อ (清远军节度使) ซึ่งเป็นตำแหน่งทางทหารเกียรติยศ(โดยไม่จำเป็นต้องรบ) ด้วยอายุเพียง 32 ปี ฐานะสูงระดับมณฑล
แม้ว่าราชวงศ์ซ่งจะแพ้ในสนามรบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พื้นที่ที่เอว่เฟยรับผิดชอบไม่เคยแพ้ มิฉะนั้นแล้ว ลูกหลานชาวนาที่ไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์จะขึ้นสูงระดับนั้นได้อย่างไร ดังนั้น แม้ว่าไม่มีรัศมีของ “วีรบุรุษแห่งชนชาติ” ความสามารถของเอว่เฟยก็ยังเป็นสุดยอดของทหารในรอบพันปี เขาไม่เพียงมีความสามารถสูง แต่ยังเก่งในการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วย
ใน “หนังสือขอพระราชทานแต่งทัพ” มีความว่า “จะทูลเชิญพระเจ้าหลวงและพระพันปีหลวง ในพระบรมโกศกลับคืนและเชิญพระญาติแห่งจิน (หมายถึง ซ่งชินจง ซึ่งถือเป็นฝ่ายจินไปแล้ว)” เอว่เฟยต้องการสื่อความหมายว่า เจ้าโก้วเท่านั้นจึงจะเป็นพระจักรพรรดิโดยแท้จริง ซ่งชินจงไม่อาจเป็นตัวแทนของต้าซ่งได้อีกแล้ว พวกเราก็ไม่ยอมรับด้วย การขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวของเอว่เฟย เป็นการให้เกียรติแก่เจ้าโก้ว การขอพระราชทานรัชทายาทเป็นการวางแผนเพื่อชาติ ใจความในหนังสือที่ถวายบังคมยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การเชิญเสด็จกลับฮุยจงและชินจง ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะของเจ้าโก้วแต่อย่างใด นับประสาอะไรกับเอว่เฟยที่รักษาคำสั่งของราชสำนักมาตลอด จะรบก็รบ จะถอยก็ถอย ดีไม่ดีก็ขอลาออกอีกต่างหาก อันเป็นการแสดงถึงความไม่ลุ่มหลงในอำนาจทหาร
นักบริหารมืออาชีพอย่างนี้ จะมีใครที่ไม่อยากได้? เจ้าโก้วถึงกับอดไม่ได้ที่จะตรัสว่า “แม่ทัพทั้งหลายที่ภักดีต่อราชสำนักนั้น น่ายินดียิ่งนัก” “การฟื้นฟูประเทศนั้น ข้าฯ ก็ขอมอบหมายให้แล้วกัน” ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและขุนนางเป็นไปอย่างดียิ่งก่อนการเจรจาสงบศึก
ในปี 1134 หลังจากตีคืนเมืองเซียงหยางได้แล้ว เอว่เฟยก็เริ่มวางยุทธศาสตร์ยาตราทัพ ขึ้นเหนือหรือการวางกำลังโดยภาพรวม ประสบการณ์ในการวางแผนมานานปี ทำให้แผนการนี้มีความสมบูรณ์อย่างยิ่ง
1.การที่จินสนับสนุนประเทศฉี (齐) ที่อยู่ใต้อำนาจก็เพื่อเป็นการถ่วงดุล เราอาจส่งทูตไปแยกประเทศฉีออกมา นี่คือการสร้างแนวรบในเขตอำนาจของศัตรู
2.เมื่อมีโอกาส ข้าฯจะยกทัพขึ้นเหนือไปเหอหนาน บรรจบกับแม่ทัพที่ก่อสร้างสายต่างๆ ตีคืนเหอหนานกับส่านซีได้ ส่วนซานตงจะปล่อยให้หานซื่อจงและพวก
3.เมื่อเคลื่อนทัพต่อไปก็จะปราบประเทศฉีที่เป็นหุ่นเชิด ฟื้นฟูต้าซ่งขึ้นใหม่ได้
4.เมื่อสถานการณ์ถึงตอนนั้น โอกาสฟื้นฟูประเทศเหลียวก็เป็นไปได้ ถ้าให้ความช่วยเหลือก็ จะดึงกองกำลังของจินให้กระจายออกไปได้
ถ้าหากทำได้ตามนี้ สถานการณ์ระหว่างประเทศในการฟื้นฟูต้าซ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เอว่เฟยก็เผยความเป็นไปได้อื่นๆ นอกจากนี้ คือ
5.ถ้าหากหลิวอวี้ป้องกันเข้มแข็งและไม่ปล่อยให้เสบียงหลุดมาได้ เหอหนานก็จะตีได้ยาก ข้าฯ จะยกทัพกลับมาและใช้ความเคลื่อนไหวต่างๆ หาโอกาสรบชนะย่อยๆ เพื่อชัยชนะ ในภาพใหญ่
6.ถ้าหากศัตรูไม่โจมตีเมืองเซียงหยาง แต่วิ่งไปถึงเจียงหนานหรือเสฉวน ข้าฯ ก็จะทะลวงเข้าไป และใช้กลยุทธ “ล้อมเว่ยช่วยเจ้า” แทน
7.ที่สำคัญคือ ต้องขอเวลาพอสมควร อย่าเร่งรัด ในเวลาเพียง 2-3 ปี รับรองว่า พระองค์จะประหลาดใจแน่นอน
แนวคิดข้างต้น ไม่เพียงมีแผนการเป็นขั้นเป็นตอน แต่ยังคำนึงถึงทุกโอกาสพลิกผันที่เป็นไปได้ กับยุทธวิธีรับมือ นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมแนวรบให้เป็นปึกแผ่นโดยการประสานกองกำลังก่อการ ต่าง ๆ นี่คือวิสัยทัศน์ของนักยุทธศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย(อ่านต่อตอน 2)







