ระวังเขียนชื่อคนญี่ปุ่นให้ถูก​

ระวังเขียนชื่อคนญี่ปุ่นให้ถูก​

เมื่อต้นปี ทางการญี่ปุ่นออกกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำกันมาประมาณ 150 ปีแล้วตามกระแสชาตินิยมใหม่

นั่นก็คือ ต่อไปนี้ในเอกสารทางการของญี่ปุ่นจะเขียนชื่อคนญี่ปุ่นในตัวอักษรจากภาษาละติน โดยเริ่มจากชื่อนามสกุลก่อนและตามด้วยชื่อตัว ซึ่งต่างจากที่กระทำกันมาตั้งแต่การปฏิรูปสมัยเมจิ ในทศวรรษ 1870 ที่เขียนตามสไตล์ฝรั่ง คือชื่อตัวก่อนและตามด้วยนามสกุล

การออกกฎหมายครั้งนี้ไม่กระทบการเขียนในภาษาญี่ปุ่นเพราะเรียงลำดับนามสกุลก่อนชื่อตัวมานมนาน เช่นเดียวกับจีนและเกาหลีซึ่งเป็นวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกด้วยกัน

คนญี่ปุ่นมีเพียง 2 ชื่อ คือชื่อสกุลกับชื่อตัว ไม่มีชื่อกลางเหมือนวัฒนธรรมตะวันตก จีนและเกาหลี คนญี่ปุ่นมักเขียนชื่อด้วยอักษร Kanji ซึ่งมีที่มาจากอักษรจีน อย่างไรก็ดีสามารถออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่นได้หลายอย่างจึงมีหลายความหมาย ดังนั้นพ่อแม่จึงมักใช้อักษร Hiragana หรือ Katakana ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการออกเสียงสะกดชื่อตัวลูก ส่วนชื่อสกุลของคนญี่ปุ่นซึ่งมีมากกว่า 100,000 ชื่อในสังคมญี่ปุ่นปัจจุบันมักเป็นอักษรKanji

สามชื่อที่พบมากที่สุดคือ Sato / Suzuki และTakahashi (สำหรับเกาหลีใต้ ครึ่งหนึ่งของประชากรมีนามสกุล Kim / Lee / Park หรือ Choi) แต่ละท้องถิ่นก็มีความนิยมของชื่อที่แตกต่างกันไป ดังเช่น Higa/ Chinen และShimabukuro เป็นชื่อที่พบทั่วไปในเกาะโอกินาวา(หรือชื่อเก่าคือเกาะริวกิว) แต่ไม่พบในส่วนอื่นของญี่ปุ่น

ในอดีตญี่ปุ่นปิดประเทศอย่างโดดเดี่ยวมายาวนานนับร้อยๆ ปีจนกระทั่งถึงยุคปฏิรูปสมัยเมจิ (ค.ศ. 1868-1912) จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ยอมรับแนวคิดปรัชญา ระบบกฎหมายเทคโนโลยี ฯลฯจากตะวันตกจนมีผลกระทบต่อโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การเกษตร ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ อย่างไม่เคยมีมาก่อน

ยุคปฏิรูประบบต่างๆ นี้เกิดขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเมจิ(ครองราชย์ ค.ศ. 1868-1912 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ค.ศ. 1868-1910) ซึ่งต้องการความทันสมัยอย่างสอดคล้องกับวัฒนธรรมตะวันตก จึงเกิดธรรมเนียมการเขียนชื่อของตนก่อน แล้วตามด้วยนามสกุลในการเขียนตัวอักษรจากภาษาละติน

ธรรมเนียมการเขียนเรียงแบบนี้ถึงแม้จะสะดวกแก่คนต่างชาติ แต่ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาทางวัฒนธรรมได้กล่าว คือคนญี่ปุ่นนั้นเฉพาะคนที่สนิทชิดชอบกันจริงๆ จึงจะเรียกชื่อตัว แต่เมื่อเขียนเรียงแบบฝรั่ง คนต่างชาติ จึงอาจเผลอเรียกชื่อต้นได้และบางครั้งสับสนไม่รู้ว่าชื่อใดเป็นชื่อตัว หรือนามสกุล ตัวอย่างง่ายๆ ชื่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน Shinzo Abe ทั้งชื่อและนามสกุลคนต่างชาติไม่ค่อยคุ้นดังนั้นจึงเรียก Mr.Abeบ้าง Mr.Shinzoบ้าง ที่ถูกต้องคือต้องเรียกMr.Abe (อา-บะ) ต่อไปนี้ต้องเขียนกันในภาษาอังกฤษว่า Abe Shinzo ไม่ใช่ Shinzo Abeอีกต่อไป

ความคิดในการให้เขียนเรียงลำดับชื่อตามภาษาญี่ปุ่นนั้นเกิดมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งมีการออกเป็นกฎหมายซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2020 คนญี่ปุ่นหัวอนุรักษ์นิยมและคนที่ภาคภูมิใจในวัฒนธรรม ตั้งคำถามว่าทำไมจึงต้องตามใจคนชาติอื่นที่มีตรรกะในการเขียนและเรียกชื่อต่างจากตน ทั้งๆที่ในภาษาญี่ปุ่นและวัฒนธรรมแถบนั้น ก็ใช้กันมานับพันปีแล้ว

มีการสำรวจคนญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้และพบว่า 59% เห็นชอบการเขียนเรียงชื่อสกุลไว้ข้างหน้าเหมือนที่เขียนกันในภาษาญี่ปุ่น ต้องการให้เป็นเช่นเดียวกับจีนและเกาหลีที่เขียนแบบดั้งเดิมมาตลอด ในปัจจุบันแนวคิดของขงจื๊อกำลังกลับเข้ามามีอิทธิพลต่อจีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในแง่ของการให้ความสำคัญแก่ครอบครัวและสกุลมากกว่าตัวบุคคล การเขียนชื่อสกุลไว้ข้างหน้าเป็นการสื่อในเชิงสัญลักษณ์ของแนวคิดนี้แก่คนต่างชาติ

การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้ตรงข้ามกับสมัยเมจิที่พยายามละทิ้งความคิดของขงจื๊อ ที่ครอบงำสังคมญี่ปุ่นมายาวนาน คนสมัยนั้นคิดว่าญี่ปุ่นจะเป็นอิสระก็ต่อเมื่อละทิ้งคำสอนของขงจื๊อ ซึ่ง นำเข้ามาจากจีน และต้องรีบรับความคิดฝรั่งมาพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว การเขียนชื่อในลักษณะตะวันตก คือส่วนหนึ่งของความเป็นสมัยใหม่เพื่อไม่ให้ฝรั่งดูถูกและอ้างเอามาเป็นเมืองขึ้นเพื่อ “พัฒนา” ไม่ให้ป่าเถื่อน 

เข้าใจว่าสังคมไทยเองก็ใช้ตรรกะคล้ายกันในการเริ่มมีนามสกุลใช้ในพ.ศ. 2456 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีชื่อตนไว้ข้างหน้าตามด้วยนามสกุลเหมือนฝรั่ง ที่ต่างกันก็คือให้ใช้นามสกุลตามสายเลือดผูกพัน ไม่ให้มีนามสกุลซ้ำกัน คนไทยมีนามสกุลใช้หลังญี่ปุ่นประมาณ 40 กว่าปี โดยในรัชสมัยเมจิคนญี่ปุ่นเริ่มมีการใช้ชื่อสกุลโดยเลือกใช้กันอย่างเสรี

“นามนั้นสำคัญไฉน” และ “ลำดับชื่อนั้นสำคัญไฉน” ก็เป็นความจริง แต่การประกาศเป็นทางการหลังจากใช้มากว่า 150 ปีในการเรียงลำดับชื่อดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา มันสื่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนญี่ปุ่นในความต้องการเป็นอิสระไม่จำเป็นต้องเอาใจฝรั่ง และต้องการความสอดคล้องกับวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกอันทรงพลังยิ่งในอนาคต

นามสกุลญี่ปุ่นที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษนั้น หากออกเสียงโดยเน้นคำต่างกันก็เป็นคนละนามสกุล ยิ่งกว่านั้นการเขียนการออกเสียงและการตีความหมายของชื่อญี่ปุ่นนั้นซับซ้อน เพราะมีการเขียนปะปนด้วยอักษรญี่ปุ่นถึง 3 แบบ แต่ก็สามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี ด้วยวัฒนธรรมของการเรียนรู้ที่สืบทอดกันมายาวนาน

สิ่งที่ญี่ปุ่นอาจสร้างความปวดหัวให้แก่คนต่างชาติได้มากกว่าการเรียงชื่อก็คือ การนับปีศักราช ทางการญี่ปุ่นใช้การนับศักราชตามปีที่ครองราชย์ของจักรพรรดิแต่ละองค์จักรพรรดิ องค์ปัจจุบันมีชื่อยุคสมัยว่า Reiwa ซึ่งเริ่มวันที่ 1 พ.ค.2019 จึงนับเป็นปีที่หนึ่งของยุค Reiwa

การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ได้กระทำต่อเนื่องมายาวนานและได้รับการยอมรับโดยคนต่างชาติย่อมต้องมีการใคร่ครวญอย่างรอบคอบ และ “โยนก้อนหินถามทาง” กันพอควร การเปลี่ยนการเขียนลำดับชื่อได้มีการออกข่าว และกล่าวถึงกันมานานในสื่อ ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นทางการอย่างสอดคล้องกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่ญี่ปุ่น ในเดือน ก.ค.2020  ซึ่งคาดว่าจะมีนักกีฬาญี่ปุ่นเข้าร่วมและถูกเรียกชื่อตอนได้รับเหรียญทองเป็นจำนวนมาก