จักรวรรดินิยมจีนกับอสังหาฯ ไทย

จักรวรรดินิยมจีนกับอสังหาฯ ไทย

ต้องยอมรับว่าจีนได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจในลักษณะจักรวรรดินิยมไปเรียบร้อยแล้ว

และจะส่งผลต่ออสังหาริมทรัพย์ไทยของเราอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องที่ต้องติดตามด้วยความระทึก

จีนก่อนยุคปฏิวัติสังคมนิยมในปี 2492 หรือเป็นประเทศที่แสนยากจน  กล่าวได้ว่าประเทศจนๆ เยี่ยงอินเดียก็ยังมีรายได้ประชาชาติสูงกว่าจีนเล็กน้อยด้วยซ้ำไป ดูอินเดียซึ่งมีประชากรน้อยกว่าจีนมีรายได้ประชาชาติสูงกว่ากินเวลาประมาณเกือบ 23 ปีนับแต่ปี 2493 ถึงปี 2516  กล่าวได้ว่าจวบจนถึงทศวรรษที่ 1980 หรือพ.ศ. 2523  เศรษฐกิจจีนกับอินเดียแทบไม่แตกต่างกัน เศรษฐกิจจีนเจริญเติบโตเพียงหนึ่งเท่าตัวในรอบ 30 ปี

หลังการจับกุมแก๊งค์สี่คน (https://bit.ly/364Ynsd ) ในปี 2519  ปรากฏว่าช่วงทศวรรษที่ 1980 หรือปี 2523-2532 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเพิ่มขึ้นราวหนึ่งเท่าตัว อาจกล่าวได้ว่า 40 ปีมานี้ (ปี 2522-2561) เศรษฐกิจเติบโตปีละ 9.91% โดยเฉลี่ย ทำให้รายได้ของประชาชนสูงขึ้นเป็นอย่างมากถึง 44 เท่า ในปี 2529 ทางผู้เขียนพบนักศึกษาจีนที่ไปศึกษาที่เบลเยี่ยมด้วยกัน ได้ทราบว่าบัณฑิตปริญญาตรีในประเทศจีนอะไรได้เพียงปีละ 800 บาทในขณะที่ประเทศไทยมีราว 2500 บาทต่อเดือน  ในขณะนี้ไทยกำหนดให้บัณฑิตมีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน แต่ในมหานครขนาดใหญ่ของจีน บัณฑิตคงมีรายได้ราวหนึ่งเท่าตัวแล้วของไทยแล้ว

157233173591

ในขณะนี้รายได้ประชาชาติต่อหัวของจีนเป็นเงินประมาณ 17,000 เหรียญสหรัฐ ส่วนของไทยเป็นเงินประมาณ 18,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก ทั้งที่ประชากรไทยมีเพียง 68 ล้านคนในขณะที่ประชากรจีนมีเกือบ 1,400 ล้านคน  ปัจจุบันนี้เศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าของอินเดียเกินกว่าหนึ่งเท่าตัวทั้งที่มีจำนวนประชากรเกือบเท่ากัน และ เมื่อ 50 ปีก่อน มีขนาดเศรษฐกิจพอๆ กัน ขนาดเศรษฐกิจของจีนใหญ่กว่าของสหรัฐอเมริกาถึงราว 20% แล้ว ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทำไมเศรษฐกิจจีนจึงเติบโตอย่างยิ่งในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จีนได้เปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ แบบ อัฐยายซื้อขนมยาย มาเป็นการค้าขายกับต่างประเทศ นำเงินทุนและทรัพยากรจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศเป็นหลัก  คนจีนจึงรวยขึ้น ผู้เขียนจำได้ว่าในปี 2525 คนไทยเชื้อสายจีนที่ไปเยี่ยมญาติในประเทศจีน นำเข้าจักยานจากฮ่องกงไปให้ทุกครั้ง ฐานะคนจีนในขณะนั้นต่ำต้อยกว่าคนจีนโพ้นทะเลเป็นอย่างมาก แต่เดี๋ยวนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

พอจีนเป็นมหาอำนาจแล้วก็ต้องไปลงทุนในประเทศอื่น เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาในสมัย 60 ปีก่อน  อย่างสหรัฐอเมริกาในสมัยปีกึ่งพุทธกาล (ปี 2500) ก็มาลงทุนในไทยเป็นอย่างมากนัยยะเพื่อต่อต้านประเทศคอมมิวนิสต์  บริเวณถนนพหลโยธินช่วงรังสิตจะเห็นมีโรงงานของสหรัฐตั้งอยู่หลายแห่ง เช่น Goodyear, Bridgestone, Firestone, American Textiles เป็นต้น

มหาอำนาจอย่างญี่ปุ่นก็มาลงทุนในไทยเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหลัง “พลาซ่าแอคคอร์ด” (อังกฤษ: Plaza Accord) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ปฏิญญาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐ เป็นข้อตกลงระหว่าง 5 ประเทศอุตสาหกรรมหลัก อันได้แก่ ฝรั่งเศส, เยอรมนีตะวันตก, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐ เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีเพิ่มค่าเงินของตัวเองเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลทั้งห้าประเทศได้ลงนามข้อตกลงนี้ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1985 ที่โรงแรมพลาซา ในนครนิวยอร์ก (https://bit.ly/2pVHz6o) ข้อตกลงนี้ทำให้ญี่ปุ่นมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมหาศาลและต้องมาผลิตสินค้าในไทยและประเทศอื่นเพื่อส่งขายไปยังสหรัฐอเมริกา

ในแง่อสังหาริมทรัพย์ ราคาที่ดินย่านรังสิตที่เคยขายในราคาไร่ละ 4 บาท ก็คงเพิ่มเป็นไร่ละ 1,000บาท ในช่วงปี 2500 เพื่อใช้สร้างโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย และธุรกิจต่อเนื่องในยุคนั้น  ในช่วงที่ญี่ปุ่นมาในปี 2528 ราคาที่ดินแถวซาฟารีเวิลด์ไร่ละ 15,000 บาท ก็ขึ้นเป็น 30,000 บาทในปี 2529 ในปี 2531 เพิ่มเป็นไร่ละ 100,000 บาท มีคนนำไปทำสวนเกษตรขายในราคาไร่ละ 400,000 บาท  ต่อมาในปี 2533 ราคาที่ดินดิบก็ขึ้นเป็นไร่ละ 300,000 บาทและสามารถนำไปทำบ้านริมสนามกอล์ฟขายไร่ละ 1.2 ล้านบาท ต่อมาราคาที่ดินดิบขึ้นเป็นไร่ละ 1.2 ล้านบาทในปี 2535 ก็มีคนซื้อไปทำบ้านเดี่ยวราคาถูกไม่เกินหนึ่งล้านบาทต่อหน่วยได้อีก

หลังยุคขยายอำนาจของจักรวรรดินิยมเดิมที่ใช้ปืน จักรวรรดินิยมยุคใหม่ใช้การค้านำการเมือง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและจีน ต่างก็ไปตั้งโรงงานในต่างประเทศด้วยเหตุผลด้านค่าแรงที่ถูกกว่าในประเทศนั่นเอง รวมทั้งเหตุผลในด้านการต่อสู้กับทางการค้า เช่น ญี่ปุ่นและจีนมาไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อผลิตสินค้าส่งไปยังประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

กระแสการลงทุนข้ามชาติจึงทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่เพิ่มสูงขึ้นนับสิบๆ หรือนับร้อยเท่า ยิ่งในประเทศที่ผ่านสงครามกลางเมือง เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา ราคาที่ดินยิ่งเพิ่มขึ้นมหาศาลจากศูนย์ก็ว่าได้  สำหรับราคาที่ดินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเฉพาะย่านชานเมือง เพิ่มขึ้นถึง 33 เท่าในระหว่างปี 2528-2540  อย่างไรก็ตามพื้นที่ชานเมืองที่ขาดสาธารณูปโภค ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นช้ามาก แต่ในเขตใจกลางเมืองที่มีรถไฟฟ้าราคากลับเพิ่มขึ้นนับ 10% ต่อปี

การเข้ามาลงทุนของอภิมหาอำนาจหรือจักรวรรดินิยมในไทย นำเข้ากิจกรรมทำลายแวดล้อมในประเทศกำลังพัฒนาอีกด้วย  เพราะจักรวรรดินิยมไม่ต้องการทำร้ายสิ่งแวดล้อมภายในประเทศนั่นเอง นอกจากนั้นยังมีการเอาเปรียบแรงงานซึ่งปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ จนเกิดสหภาพแรงงานในประเทศเหล่านี้รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย การค้าขายที่เอาเปรียบเอาเปรียบคนไทยปรากฏทั่วไป

แม้แต่ iPhone ก็มีข่าวอยู่เนืองๆ ในประเทศจีน เช่น ข่าว Apple ทำผิดกฎหมายแรงงาน (ก.ย.2562: https://bit.ly/2pagpsu) Apple ยอมรับว่าใช้แรงงานเด็ก (พ.ย.2560: https://bit.ly/2PoNrQb) ชีวิตและความตายในเมืองต้องห้ามของ Apple ในจีน (มิ.ย. 2560: https://bit.ly/2pah7Ga)  ส่วนจีนก็เข้ามาค้าขายเอาเปรียบไทยเป็นข่าวบ่อยๆ เช่น ล้งจีนในกรณีลำใย ทุเรียน ผลไม้อื่นๆ ยางพารา และกรณีทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นต้น

จักรวรรดินิยมจีนยังไปไกลกว่านั้น เขาส่งออกแรงงานไปทำงานแทนคนในท้องถิ่นด้วย เช่น ส่งคนเกือบแสนคนไปทำงานที่ศรีลังกา และในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก กระแสการอพยพของคนจีนในทุกวันนี้ไม่ใช่แบบ ‘เสื่อผืนหมอนใบเช่นดังเมื่อร้อยปีก่อน  แต่เป็นการอพยพไป กินเมืองอย่างที่ทำสำเร็จมาแล้วในซินเกียงและทิเบต  รัฐบาลจีนก็ให้การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างเป็นระบบ  ดังนั้นการที่ทุนจีนเข้ามาเอาเปรียบคนท้องถิ่นทั่วโลก จึงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของแค่ภาคเอกชน แต่รัฐบาลจีนย่อมต้องมีส่วนรู้เห็นด้วย

กระบวนการไปซื้อที่ดินหรือไปเช่าที่ดิน 99 ปีอย่างที่จีน เคยโดนมากับตัวเองจากอังกฤษนั้น จีนได้นำมาใช้กับประเทศคู่ค้าของจีน  เชื่อว่าการที่รัฐบาลไทยตัดสินใจให้การเช่าที่ 99 ปีนั้น มาจากแรงกดดันของรัฐบาลจีนเอง การส่งคนไปแทรกซึมทั่วโลกบวกกับการครอบครองที่ดิน ระยะยาว เป็นกลยุทธ์สำคัญของรัฐบาลจีนในการแสวงหาความยิ่งใหญ่อย่างที่จักรวรรดินิยมอื่นไม่เคยทำ นอกจากนี้ยังไปเที่ยวโครงการสาธารณูปโภคเพื่อยึดหัวหาดในแต่ละประเทศ และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ อย่างในกรณีกัมพูชา นักลงทุนจีนไปลงทุนทำอาคารชุดมากกว่านักลงทุนท้องถิ่นแล้ว

จีนต้องขายสินค้าให้ได้ทั่วโลก กระจายประชากรออกไปหากินนอกประเทศ และนำทรัพยากรกลับไปเลี้ยงประชากร 1,400 ล้านคนในจีน เพื่อให้ชนชั้นปกครองจีน ยังมีสถานะมั่นคง ที่หวังว่าจีนจะมาถ่ายทอดเทคโนโลยี เหมือนที่จีนไป กอปปี้มาจากทั่วโลกคงยากนัก ไทยหรือประเทศกำลังพัฒนาคงไม่ได้เป็นแค่มณฑลของจีน กลัวแต่จะเป็นแค่อาณานิคม!

การที่ไทยไปใกล้ชิดกับจีนมากในขณะที่ทั่วโลกมองจีนเป็น ‘ภัยเหลือง’ (https://bit.ly/2WloS8n ) ยุคใหม่ นับเป็นการทูตที่อันตราย แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราต่างรู้จัก ‘Balance’ กับมหาอำนาจต่างๆ อย่างสมดุล