ธุรกิจบนโลกดิจิทัลจำนวนมากต่างประสบความสำเร็จโดยใช้ API
หลายคนอาจแปลกใจเมื่อทราบข่าวธนาคารใหญ่ๆ ในบ้านเรา 2-3 แห่งประกาศว่าเปิด API (Application Programming Interface) หรือเรียกว่า Open Banking API เพื่อให้นักพัฒนาโปรแกรมจากภายนอกธนาคาร สามารถเขียนโปรแกรม เพื่อพัฒนาระบบเชื่อมต่อระบบธนาคารได้ เช่น การเรียกใช้ระบบชำระเงิน หรือเรียกใช้ระบบ Loan Origination ธนาคารเหล่านั้น คาดว่า จะได้นักพัฒนาโปรแกรมและพันธมิตรมาต่อยอด ช่วยสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่จะดึงลูกค้ามาใช้บริการธนาคารมากขึ้น
การที่ธนาคารทำ Open API อาจเป็นเรื่องใหม่ในประเทศเรา แต่ที่อื่นในโลก เริ่มทำเรื่องนี้อย่างจริงจังสักระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรมีกฎให้สถาบันการเงินทำการเปิด API เพื่อให้แชร์ข้อมูล หรือธุรกรรมลูกค้าให้หน่วยงานอื่นได้ แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้า กฎระเบียบนี้ออกมาเพื่อสร้างระบบเปิดให้ผู้บริโภค การเปิด API เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าธนาคารแง่ที่ไม่จำเป็นต้องถูกผูกขาดการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใดๆ เฉพาะสถาบันการเงินที่มีข้อมูลลูกค้าอยู่ แต่ทำให้ธนาคารอื่นเสนอบริการต่างๆ ที่อาจดีกว่าให้ลูกค้าจากที่สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าผ่าน Open API ได้
Open API เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้วในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ตัวอย่างหนึ่งคืออเมซอน (Amazon) หลายคนอาจแปลกใจว่า เว็บไซต์ที่ทำอีคอมเมิร์ซมีมากมาย หลายเว็บไซต์แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ทำไมอเมซอน จึงประสบความสำเร็จมากมาย ส่วนหนึ่งเพราะอเมซอนทำ Open API ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจแบบแบ่งปัน อเมซอนไม่ได้โตขึ้นมา เพราะต้องพัฒนานวัตกรรมทุกอย่างและหาคู่ค้าด้วยตัวเองทั้งหมด
โดยสรุป คือ อเมซอนไม่ได้เป็นผู้หาคู่ค้า (Partner) แต่คู่ค้าเป็นคนวิ่งมาหาอเมซอน ผ่านการเรียกใช้ Open API คู่ค้าและนักพัฒนาโปรแกรมเป็นผู้เลือกอเมซอน ทำให้สามารถขยายตลาดออกไปได้มากมายผ่านช่องทางต่างๆ ของคู่ค้า และคู่ค้าก็ช่วยพัฒนานวัตกรรมให้อเมซอน
อเมซอน ไม่ได้เป็นตัวอย่างธุรกิจเดียวที่ประสบความสำเร็จโดยใช้ API หากแต่ธุรกิจบนโลกดิจิทัลจำนวนมากต่างประสบความสำเร็จโดยใช้ API เพราะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจะโตได้ต้องมีนักพัฒนาโปรแกรมจำนวนมาก และต้องการนวัตกรรมตลอดเวลา การเปิด API ทำให้บริษัทขยายตัวจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้นและสร้างนวัตกรรมจากนักพัฒนาที่อยู่นอกบริษัทและคู่ค้า ตัวอย่างความประสบความสำเร็จมีมากมาย เช่น กูเกิล, เฟซบุ๊ค, เพย์พาล , เน็ตฟลิกซ์, ทวิตเตอร์ และเบสท์บาย
เน็ตฟลิกซ์ ผู้ให้บริการภาพยนต์ผ่านออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้บริการจำนวนมากไม่ได้ดูภาพยนตร์จากเว็บเน็ตฟลิกซ์ แต่เลือกดูผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ท ทีวี, แอ๊ปเปิ้ล ทีวี , สมาร์ทโฟน หรือแทบเล็ต ปัจจุบันมีอุปกรณ์เหล่านี้จำนวนมากและเพิ่มใหม่ตลอดเวลา หากจะหวังพึ่งให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของเน็ตฟลิกซ์ พัฒนาให้ใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ คงเป็นไปได้ยาก เน็ตฟลิกซ์จึงใช้วิธีเปิด APIs ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ภายนอกเข้าถึงระบบเน็ตฟลิกซ์ได้ ทำให้ปัจจุบันมีอุปกรณ์มากกว่า 800 ชนิดที่สามารถเล่น เน็ตฟลิกซ์ ได้โดยไม่ต้องพัฒนาเอง
การทำ API ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงการซอฟต์แวร์ แม้แต่ไนกี้ (Nike) ที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่าง Nike FuelBand หรือ Nike Sportwatch ก็ต้องสร้าง Nike+ Platform ที่มี API ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถเขียนโปรแกรมมาเรียกใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เหล่านี้ได้ เช่นเดียวกับซัมซุงที่มีนาฬิกา Samsung Gear หรือกูเกิลที่ออก Google Assistant ต่างก็เปิด API ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้เขียนโปรแกรมได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า ยุคของดิจิทัลกำลังเข้าสู่ API Economy ที่กำลังเป็นการปฎิวัติดิจิทัลครั้งใหม่