ระบบ‘เลือกตั้ง’บีบพรรค เปิดศึกชิง‘ปาร์ตี้ลิสต์-เขต’
000 “ระบบเลือกตั้ง” ถือเป็นหนึ่งประเด็นใหม่ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่24 มี.ค.หรือ1เดือนข้างหน้า โดยระบบนี้
ถูกตั้งชื่อว่า “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม” กำหนดให้มีส.ส.จำนวนทั้งสิ้น 500 คน แบ่งเป็นส.ส.ระบบเขต 350 คน และระบบบัญชีรายชื่อ หรือที่เรียกว่าระบบ“ปาร์ตี้ลิสต์” อีก150 คน
000 ระบบดังกล่าวต่างไปจากเดิมที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบหนึ่งเลือก“คนที่รัก” อีกใบเลือก “พรรคที่ชอบ” เป็น
บัตร1ใบเลือก “คนที่รัก-พรรคที่ชอบ-นายกฯที่ใช่”
000 โดย กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ให้เหตุผลการออกแบบโมเดลเลือกตั้งนี้ว่า “เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ” เพราะนอกจากจะกาบัตรเลือกตั้งใบเดียวได้ทั้งส.ส.-พรรคการเมือง-รวมไปถึงนายกฯแล้ว ทุกคะแนนเสียง โดยเฉพาะ “คะแนนเสีย” หรือคะแนนของ “ผู้แพ้” จะถูกนำมาคิดคำนวณเป็นส.ส.ในระบบปาร์ตี้ลิสต์อีกด้วย
000 เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีการคิดคำนวณว่า พรรคที่ได้รับคะแนนในระบบเขตสูง ก็จะส่งผลให้คะแนนรวมถึงที่นั่งส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์ “ถูกหั่น” ให้เหลือพื้นที่น้อยลง
000 จึงไม่แปลกที่การเลือกตั้งในครั้งนี้จะทำให้พรรคใหญ่ที่เคยได้คะแนนมาเป็นอันดับ1และ2 เลือกที่จะเดินยุทธศาสตร์ “แตกตัว” เพื่อรักษาแต้มที่มีอยู่เดิมเอาไว้
000 และนอกจากที่แต่ละพรรคจะต้องเผชิญกับ “ศึกนอกพรรค” ที่ขณะนี้มี “พรรคน้องใหม่” เกิดขึ้นมากมายแล้ว จากความไม่แน่นอนรวมถึงโอกาสในการคว้าที่นั่งในระบบปาร์ตี้ลิสต์ที่อาจจะน้องลง แต่ละพรรคโดยเฉพาะพรรคใหญ่จึงต้องเผชิญ“ศึกภายในพรรค” ไม่ว่าจะเป็น“ศึกชิงพื้นที่ทับซ้อน” รวมถึง“ศึกชิงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้น” เพื่อให้ตนเองอยู่ในระยะปลอดภัย
000 โดยเฉพาะในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เกิด“ดราม่า” ศึกชิงปาร์ตี้ลิสต์ไม่หยุดหย่อน ทั้งในกรณีของ “วิฑูรย์ นามบุตร” รองหัวหน้าพรรคที่ถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่40 จนถึงขั้นโพสต์ข้อความในไลน์กลุ่มส.ส.พรรคระบายความในใจในทำนองตัดพ้อถึงหลักคิด วิธีการจัดลำดับที่เอาคนไม่ออกทุน ไม่ออกแรง ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับพรรค ไม่ลงพื้นที่ อยู่ลำดับ 10-20-30
000 ในขณะที่ตัวเองเป็นรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน ออกทุน ออกแรง เป็นคนเก่า มั่นคงกับพรรค ไม่เคยย้ายพรรค กลับถูกจัดให้ลำดับ 40(ปชป.คาดการณ์ว่าลำดับปลอดภัยอยู่ที่30-35ที่นั่ง) ไม่นับรวมกรณีที่อดีตส.ส.บางคนแสดงความไม่พอใจลามไปถึงขั้นทำหนังสือลาออก เนื่องจากไม่มีชื่อปรากฏอยู่บัญชีปาร์ตี้ลิสต์
000 เช่นเดียวกับพรรคคู่แข่งอย่าง “พรรคเพื่อไทย” ที่มีการคาดการณ์ว่าจำนวนที่นั่งปาร์ตี้ลิสต์จะหายไปเกินครึ่ง หรือที่แย่ไปกว่านั้นอาจไม่ได้ที่นั่งส.ส.เลยแม้แต่คนเดียว พรรคจึงเลือกที่จะเดินเกมแตกพรรค เกลี่ยส.ส. ส่งเฉพาะเขตที่ชัวร์ รวมทั้งดันคนที่เคยอยู่ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ไปลงในระบบเขต หรือจัดโควตาปาร์ตี้ลิสต์ให้เฉพาะแกนนำแถวหน้า ส่วนแกนนำแถวรองลงมาก็จะแลกกับโควตาในตำแหน่งอื่นๆ เพื่อรักษาแต้มเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
000 งานนี้พรรคที่ดูเหมือนว่าจะแฮปปี้ที่สุดหนีไม่พ้นพรรคขนาดกลางหรือพรรคที่ได้คะแนนลำดับที่3ลงมา เพราะยิ่งพรรคใหญ่ทำคะแนนได้มากเท่าไร ก็จะเป็นการเพิ่มแต้มเสียที่จะนำไปคำนวณที่นั่งปาร์ตี้ลิสต์ให้พรรคเหล่านั้นมากท่านั้น!!
โดย... ดารากร