อะเมซอน วันนี้
ที่ราบลุ่มแม่น้ำอะเมซอน (Amazon) เป็นดินแดนธรรมชาติที่กว้างใหญ่และสำคัญต่อความเป็นความของมนุษยชาติมากที่สุดในโลก
หากพื้นที่ป่าฝนขนาด 7 ล้านตารางกิโลเมตรนี้หมดสิ้นไป โลกจะเกิดภาวะแปรปรวนมหาศาลถึงขั้นอยู่กันไม่ได้ ในบราซิลนั้น ถึงจะมีการปกป้องธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น แต่การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติแห่งนี้ก็ยังกว้างขวางหลากหลายเช่นกันกับปัญหาทำลายสภาพแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ปัญหาของอธิปไตยกับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ที่เดือดร้อน หรือการปราบปรามผู้ร้ายในพื้นที่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาอันซับซ้อนที่กองทัพบราซิลกำลังเผชิญในอะเมซอน
ผมได้มีโอกาสไปเยือนดินแดนอะเมซอนในส่วนของบราซิล เพื่อดูงานในสังกัดของหน่วยบัญชาการทหารภาคพื้นอะเมซอน (Commando Military da Amazonia - CMA) ที่เมือง Manaus เมืองเอกของแคว้น Amazonas เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา ป่าอะเมซอนกินพื้นที่ถึง 9 ประเทศก็จริง แต่ 60% อยู่ในบราซิล แบ่งออกเป็น 7 แคว้นและต้องใช้ถึงสองหน่วยบัญชาการทหารช่วยกันดูแล แคว้นอะมาซอนนาสเป็นแคว้นสำคัญที่สุด เพราะนี่คือใจกลางของอะเมซอน ภาพที่เห็นจากเครื่องบินคืออะเมซอนประกอบกันด้วยทางน้ำหลายพันสายคดเคี้ยวแทรกซอนไปตามพื้นที่ลุ่ม ถนนในการสัญจรมีเพียงแต่ในเมือง การเดินทางภายในเขตอะเมซอนต้องใช้ทางน้ำเป็นหลัก ความร่วมมือของกำลังทุกเหล่าทัพ ตลอดจนปฏิบัติการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ด้วยการที่อะเมซอนเป็นพื้นที่ยากต่อการเข้าถึง ทำให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องยากลำบาก ในฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมบริเวณใกล้ทางน้ำ กองทัพเรือบราซิลต้องขนเครื่องอุปโภคบริโภคลงเรือลำเลียงเป็นระยะเวลาทีละหลายวันจากแคว้นห่างไกลไปช่วย โรงพยาบาลลอยน้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเคลื่อนที่ไปรับส่งผู้ประสบภัยต่าง ๆ พื้นที่อะเมซอนนี้มีคนอยู่กันเกินกว่า 20 ล้าน ในจำนวนนี้ประมาณ 3 แสนคนที่อินเดียนแดงท้องถิ่น บางพวกบางกลุ่มมีปัญหาเรื่องลงทะเบียน เพราะพวกเขาไม่รู้จักเขตแดน สามารถไปได้เรื่อย ๆ ขณะที่ผมไปเยือน อะเมซอนตอนเหนือมีการระบาดของโรคหัดซึ่งอินเดียนแดงนำข้ามพรมแดนจากเวเนซูเอล่า
ปัญหาตัดไม้ทำลายป่าในอะเมซอนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของโลก จนนานาชาติต้องพยายามเข้ามาแทรกแซง เพราะการทำลายแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพขนาดใหญ่ทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อน ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นอาการเอล นิโญ่ หมอกควันท่วมท้น พืชพันธุ์สัตว์ป่าสูญพันธ์ ล้วนมาจากการตัดไม้ สร้างเขื่อน รุกพื้นที่เพื่อทำกิน ทำไร่ทำเหมืองขนาดใหญ่ ไร่ถั่วเหลืองนี่ตัวดีเพราะส่งออกไปจีนไม่อั้น นายทุนบราซิลขยับไปปลูกในเขตเพื่อนบ้านด้วย ชาติยุโรปนำโดยนอร์เวย์ และ NGO ต่างกดดันให้บราซิลยอมทำสัญญาปกป้องสภาพแวดล้อมแลกกับเงินช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ สภาพเศรษฐกิจตกต่ำยิ่งทำให้การกระทำผิดกฏหมายมีมากขึ้น อีกทั้งบริษัทและคนบราซิลจำนวนมากอยากใช้ประโยชน์จาก “อะเมซอนของตนเอง” ต่อไป เช่น แร่ธาตุและก๊าซ โดยมีขีดจำกัดน้อยที่สุด เพราะถือว่าอะเมซอนเป็นของบราซิล ไม่ใช่ของโลก
Manaus เป็นเมืองเอกของแคว้นอะมาซอนนาสที่รุ่งเรืองมากในศตวรรษที่ 19 ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมืองตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Rio Negro ซึ่งเป็นจุดหมายของการลำเลียงสินค้าอะเมซอนจากถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะแม่น้ำ Rio Salimoes จากทางเหนือที่การบรรจบกันของแม่น้ำสองสายกลายเป็นเส้นหลักของการส่งกำลังบำรุงแห่งอะเมซอน ไตรมาสที่สี่ของศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่ยางพาราบูมมากที่สุด กลายเป็นสินค้าหลักทำรายได้ถึงครึ่งหนึ่งของสินค้านำเข้าบราซิลทั้งหมด ความรุ่งเรืองนำไปสู่ความหรูหราของเมืองมาเนาส์ สถาปัตยกรรมใหญ่ ๆ สไตล์เลียนแบบเรอเนสซองค์สร้างขึ้นทั่วทั้งเมือง แต่เมื่อเมล็ดพันธุ์ที่อังกฤษและไทยแอบเอามาจากบราซิลสามารถเพาะเป็นต้นและสามารถส่งออกน้ำยางได้ดี มาเนาส์ก็ล่มสลาย ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังครองตลาดยางพาราโลกถึง 50% แต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือแค่เปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้นทุกวันนี้มาเน้าส์ยังไปได้ดีในแง่ของการทำประมง และจัดตั้งเป็นเขตปลอดภาษีทำให้มีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงแคว้นได้ แต่โดยรวมแล้วเศรษฐกิจอะเมซอนยังไม่อาจเทียบเท่ากับแคว้นชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศที่มีคนขาวมากกว่าและมีประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและการอุตสาหกรรมแข็งแกร่งสืบทอดอย่างต่อเนื่อง
ความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านนำไปสู่ซึ่งการปราศจากสงครามตามแบบ ทำให้กองทัพบราซิลในอะมาซอนรบกับภัยคุกคามที่ไม่ใช้กำลังอาวุธเป็นหลัก แต่ปัญหาที่รอการแก้ไขยังมีอีกมากมายนัก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่พึ่งเกิดขึ้นอาจนำไปสู่ความสำเร็จมากขึ้นจากแนวทางการแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ ก็เป็นได้