ความสงัดก่อนพายุใหญ่?

ความสงัดก่อนพายุใหญ่?

วันก่อนผมต่อสายตรงไปกรุงโซลเพื่อคุยผ่าน Suthichai Live กับนักข่าวประจำเกาหลีของ Wall Street Journal ชื่อ Jonathan Cheng

ที่เคยไปเกาหลีเหนือมาแล้วสองครั้ง และจับตาเรื่องเกาหลีละเอียดที่สุดคนหนึ่งในช่วงนี้

ผมถามว่าเกาหลีเหนือจริงใจแค่ไหนในการเจรจากับเกาหลีใต้

ผมอยากรู้ว่า ที่คิมจองอึนยื่นไมตรีมาให้มูนแจอินแห่งเกาหลีใต้ ขณะที่ยังฟาดฟันโดนัลด์ ทรัมป์นั้น แปลว่าคิมพยายามจะสร้างความแตกแยกระหว่างวอชิงตันกับโซลหรือไม่

มีประเด็นที่ควรแก่การวิเคราะห์ต่อไปว่าหลังการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้ ที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีปรองดองอย่างน่าสังเกตนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเหนือกับใต้จะก้าวหน้าไปสู่สันติภาพหรือว่าจะกลับไปสู่การเผชิญหน้าอีกรอบ

ทำไมเกาหลีใต้ไม่มีเงื่อนไขว่าเกาหลีเหนือจะต้องเลิกพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ก่อน จึงจะเจรจาด้วย ขณะที่วอชิงตันยังยืนยันว่าการพบปะใด ๆ จะต้องมีคำรับรองจากเกาหลีเหนือว่าจะต้องระงับการพัฒนาอาวุธร้ายแรง?

คำตอบชัด ๆ จากนักข่าวที่เฝ้ามองทุกความเคลื่อนไหวบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างโยนาธานบอกผมว่า

“ไม่มีใครอ่านใจคิมจองอึนออก เหมือนที่ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะเอาอย่างไรกับคิม”

ความสงัดก่อนพายุใหญ่?

เกาหลีเหนือยอมส่งทีมนักกีฬา และกองเชียร์ มาร่วมการแข่งขันที่เกาหลีใต้ครั้งนี้ ถือว่าเป็นความคืบหน้าทางบวกที่น่าสนใจ

ถึงขั้นที่ทั้งเหนือและใต้จะเดินเข้าสนามกีฬาวันนั้นภายใต้ธงรวมชาติเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้เห็นความพร้อมที่จะปรองดองของทั้งสองฝ่าย

ยิ่งจะมีการจัดทีมฮอกกี้น้ำแข็งเป็นทีมเดียวกัน ก็ยิ่งสะท้อนว่าทั้งสองเกาหลีกำลังจะขยับเข้าสู่การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเกาหลีเหนือจะยอมยกเลิกโครงการพัฒนานิวเคลียร์ และไม่ได้หมายความว่าคิมพร้อมจะเจรจากับทรัมป์ในประเด็นนี้

นี่คือเครื่องหมายคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีใครมีคำตอบ

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal บอกว่าเขาเป็นมิตรกับคิม พอข่าวออกอย่างนั้น ทรัมป์ปฏิเสธ บอกว่านักข่าวฟังผิด เขาไม่ได้บอกว่าสนิทรักใคร่กับคิม เพียงแต่บอกว่าเขากับคิม อาจจะสามารถคบหากันได้หากเงื่อนไขถูกต้องเหมาะสม

แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นปล่อยคลิปเสียงออกมายืนยันว่าทรัมป์พูดอย่างที่ลงข่าวไปจริง

แปลว่าทรัมป์สะเปะสะปะ หรือไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเพื่อนหรือศัตรูของคิมกันแน่.

ที่แน่ ๆ ก็คือว่า การที่เกาหลีเหนือและใต้เริ่มจะแสดงความพร้อมที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันนั้น เป็นสัญญาณในทางที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

อีกทั้งยังตอกย้ำถึงความเป็น “ผู้นำหัวใส” ของคิมที่เล่นเกมรุก ถอย  รอ  และซอยเท้า อย่างชาญฉลาด ผิดจากที่เคยมีการวิเคราะห์ว่าคิมน้อยผู้นี้ไม่ใคร่จะมีสมอง หรือความคิดอ่านที่ว่องไวปราดเปรียวแต่อย่างใด

แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่าทรัมป์เดินเกมที่เสียคะแนนตามลำดับ เพราะหากคิมสามารถให้ผู้นำเกาหลีใต้ยอมเจรจา และมีผลออกมาดีเกินคาดโดยไม่ตั้งเงื่อนไขเรื่องนิวเคลียร์ ก็เท่ากับว่าคิมชนะเกมแรกไปแล้ว

ถึงขั้นที่ผู้นำรัสเซียวลาดิมีร์ ปูตินประกาศว่า “ยกนี้ คิมชนะ”

ที่แน่ ๆ ก็คือทั้งสหรัฐ และเกาหลีเหนือ ก็ยังเตรียมทหารและอาวุธร้ายแรงของตัวเองอยู่ เพราะยังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์จะหวนกลับไปสู่การเผชิญหน้า และสงครามจะระเบิดขึ้นเมื่อใดก็ได้

เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าบ่อยครั้งความเงียบสงัดผิดสังเกตอาจเป็นเพียงการรอให้เกิดพายุใหญ่เท่านั้น!