คสช. คืนความสุขให้ประชาชนหรือยัง

คสช. คืนความสุขให้ประชาชนหรือยัง

วันที่ 22 พ.ค.2557 มีเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เป็นหัวหน้าคณะของทหาร 3 เหล่าทัพและตำรวจ ที่ตั้งชื่อว่า “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” ซึ่งมาพร้อมกับเสียงเพลง “คืนความสุขให้ประชาชน” ที่ว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” ก็จะคืนความสุขให้ประชาชน

อันที่จริงแล้ว เพียงวันแรกที่คสช.ยึดอำนาจการปกครองบ้านเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ก็เริ่มมีความสุขมากขึ้นจากเหตุการณ์ก่อนรัฐประหารแล้ว แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานออกมาจนย่างเข้าปีที่ 4 ของการเกิดคสช.แล้ว ประชาชนก็คงจะเริ่มมีคำถามว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความสุขกับการบริหารบ้านเมืองของคสช.หรือยัง?

คสช.ได้แต่งตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ออกกฎหมาย) ครม. (บริหารราชการแผ่นดิน) แต่งตั้งสภาปฏิรูป สภาขับเคลื่อนการปฏิรูป และคณะกรรมการปฏิรูป 11 ด้าน เพื่อปฏิรูปประเทศไทย โดยมีเป้าหมายปฏิรูปประเทศไทยให้เข้าสู่ยุค Thailand 4.0 และประกาศจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย?

รวมทั้งการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รวมทั้งคำมั่นสัญญาตามแนวทางที่กำหนดไว้ (Road Map-หมายเหตุในพ.ศ. 2561 ผู้ใหญ่ลีและชาวบ้านของผู้ใหญ่ลีหลายล้านคน ไม่เข้าใจว่า Road Map แปลว่าอะไร ขอเรียนท่านนายกเพื่อทราบ)

ในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูป 11 ด้านนั้นจะใช้เวลา 8 เดือนโดยจะให้แล้วเสร็จในเดือนเม.ย. 2561

ทั้งนี้ตามพ.ร.บ.ปฏิรูป นั้นได้กำหนดวิธีการทำงาน เช่น 1. มีหัวข้อในการปฏิรูปตามที่รัฐธรรมนูญและครม.กำหนด 2.ระบุกลไก วิธีการ ขั้นตอน และผลลัพธ์ของการปฏิรูปในแต่ละด้าน พร้อมมีตัวชี้วัดด้วย

3.ผลสัมฤทธิ์ในช่วงระยะเวลา เช่น 5 ปี 4.กฎหมายที่ต้องออกเพื่อให้กลไกการปฏิรูปเดินหน้าไปได้มีหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องปฏิบัติ ใช้งบประมาณจำนวนเท่าใด

1​​​​​​​​​​​.ขอติดตามเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณสุข

เนื่องจากผู้เขียนเป็นบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข และในขณะเดียวกัน ก็เป็นพลเมืองไทยที่ต้องไปรับการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขด้วย ในฐานะพลเมืองอาวุโส (Senior Citizen) หรือจะเรียกว่าเป็นคนแก่หรือผู้สูงอายุก็ได้

อยากจะบอกกล่าวปัญหาให้คณะกรรมการปฏิรูปด้านสาธารณสุขได้รับทราบว่า ควรจะปฏิรูประบบสาธารณสุขอย่างไร เพื่อให้ระบบนี้มีคุณภาพมาตรฐานสูงทัดเทียมกับมาตรฐานของประเทศที่เจริญแล้ว และ ทัดเทียมกับ Medical Hub ในนานาอารยะประเทศ

สถานการณ์ในปัจจุบันของระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทย

  1. กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดบริการสาธารณสุขแก่ประชาชนพลเมืองไทย รวมทั้งหน้าที่อื่นๆ ตามที่ปรากฏในพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 โดยการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนนั้น ดำเนินการโดยโรงพยาบาลระดับต่างๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
  2. กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รับงบประมาณโดยตรงจากรัฐบาล ในการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน แต่ต้องให้บริการแก่ประชาชนไปก่อน แล้วจึงจะขอรับค่าบริการตามสิทธิของประชาชนในการประกันสุขภาพ 3 ระบบ คือ

2.1 ประชาชน 48 ล้านคนในระบบ 30 บาท ต้องไปขอรับเงินจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีสปสช.เป็นผู้จ่ายเงิน

2.2 ประชาชน 5 ล้านคน ในระบบสวัสดิการข้าราชการ ต้องขอรับเงินจากกรมบัญชีกลาง ประชาชน 10 ล้านคนในระบบประกันสังคม ต้องไปขอรับเงินจากสำนักงานประกันสังคม

  1. ปัญหาจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง) ทำให้โรงพยาบาลต่างๆประสบปัญหาในกรขาดเงินทุนในการทำงาน เนื่องจากสปสช.จ่ายเงินค่ารักษา(ค่าบริการสาธารณสุข)ผู้ป่วย ให้แก่โรงพยาบาลที่ได้รักษาผู้ป่วยไป เต็มตามจำนวนที่รพ.เรียกเก็บ (จ่ายไปจริงตามราคาที่ตกลงกันไว้แล้ว)

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยใน(ผู้ป่วยที่ต้องนอนรับการรักษาในโรงพยาบาล) นั้นสปสช.ตกลงราคาการจ่ายเงินค่ารักษาเป็นระบบ DRG แต่สปสช.ไม่ยอมจ่ายตามราคาที่ตกลงกันไว้ กล่าวคือต้นปีจ่ายตามราคาที่ตกลงกัน แต่พอกลางปีและปลายปี สปสช.จะลดอัตราการจ่ายลงไปให้น้อยกว่าเดิม โดยอ้างว่า “เงินหมด ต้องหารเฉลี่ยกันให้พอ”

การทำเช่นนี้ของสปสช. จะพ้นจากความรับผิดชอบของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปไม่ได้ และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องหางบประมาณมาจ่ายค่ารักษาให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้จริงให้ได้ เพราะจ่ายไม่ครบ ถือว่าสปสช.ติดหนี้โรงพยาบาลอยู่

อนึ่ง การที่สปสช.จ่ายเงินค่ารักษาผู้ป่วยไม่เท่ากับราคาที่ตกลงกันไว้ เป็นปัญหาการขาดธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งหัวหน้าคสช.ก็รู้แล้ว และออกคำสั่งที่ 37/2559 ให้สปสช.จ่ายเงินแบบไม่ถูกต้องต่อไปได้ แต่ได้สั่งให้มีการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาการขาดธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

แต่การแก้กฎหมายนี้ยังไม่สำเร็จ

ปัญหาการจ่ายงบประมาณที่ไม่เท่าต้นทุนการรักษา จึงส่งผลให้โรงพยาบาลขาดแคลนเงินทุนในการซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วย จนมีพี่ตูนใจดี ต้องมาช่วยวิ่งหาเงินให้โรงพยาบาลซื้อเครื่องมือแพทย์

แต่ยังไม่สามารถยุติปัญหาการขาดธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่นอกจากจะทำให้โรงพยาบาลลำบากยากจนแล้ว ยังส่งผลเสียหายต่อคุณภาพการรักษาผู้ป่วย กล่าวคือ ไม่มียาและเครื่องมือแพทย์ที่เหมาะสมในการรักษาผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ด้อยคุณภาพ และได้รับความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพ (อาจตายโดยยังไม่สมควรตาย)

จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการปฏิรูปสาธารณสุข ได้เร่งรัดแก้ไขการบริหารจัดการกองทุน 30 บาท ให้มีธรรมาภิบาล ควบคุมให้สปสช.จ่ายเงินค่ารักษษอย่างสมเหตุสมผล เพื่อทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการแพทย์แผนปัจจุบัน (ที่ทันสมัย)โดยด่วน

(ยังมีต่อตอนที่ 2)

โดย... 

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา

กลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง