'ปุ่มนิวเคลียร์' เล็กหรือใหญ่ก็ตายหมู่
เหมือนเด็กทะเลาะกัน หรือเหมือนสองชาติเตรียมเปิดศึกนิวเคลียร์
โดนัลด์ ทรัมป์เขียนทวีตตอบโต้คิม จองอึน ตามที่ผมทำสำเนามาให้ได้อ่านคำต่อคำอย่างนี้
เป็นการตอบโต้คำปราศรัยของคิมวันปีใหม่ว่า “ผมมีปุ่มนิวเคลียร์ตั้งบนโต๊ะทำงานผมตลอดเวลา” และสำทับว่าเกาหลีเหนือได้พัฒนาขีปนาวุธที่มีศักยภาพสามารถยิงถึงทุกจุดของสหรัฐอเมริกาแล้ว
“นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่การกรรโชกหรือขู่เฉย ๆ”
อีกสองวันต่อมา ทรัมป์ก็โต้ด้วยทวีตข้อความว่า “ช่วยไปบอกคิมทีว่า ผมก็มีปุ่มนิวเคลียร์ที่ใหญ่กว่าและแรงกว่า และทำงานได้จริงด้วย! ”
เป็นวิวาทะที่ล่อแหลมและสร้างความหวาดเสียวพอ ๆ กับที่ทำให้คนทั้งโลกได้เห็นความเป็นเด็กละอ่อนของผู้นำทั้งสองประเทศที่ไม่มีใครคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่
ก่อนหน้านี้ คิมเคยเรียกทรัมป์ว่าเป็น “คนบ้า” และ “ปัญญาอ่อน”
ทรัมป์ก็เคยตอกหน้าคิมว่าเป็น “พวกโรคจิต” และ “ไอ้มนุษย์จรวด”
ในประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศนี่เป็นปรากฏการณ์ที่ “เพี้ยน” กว่าที่ผ่านมา สร้างความสั่นสะเทือนขวัญไปทั่ว
ทำให้เกิดแนววิเคราะห์ว่าทั้งคิมและทรัมป์ต่างใช้ Madman’s Theory หรือ Brinkmanship ให้เกิดความปั่นป่วนไปทั้งโลกหรืออย่างไร
“ทฤษฎีคนบ้า” คือที่อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เคยอ้างว่าจะใช้เพื่อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับศัตรู
แปลว่าผู้นำแกล้งทำเป็น “บ้า” เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัวเกรง เพราะ “ผู้นำบ้า” ย่อมจะทำอะไรที่ไร้เหตุไร้ผลได้ จึงสมควรที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องระมัดระวัง ไม่ไปแหย่ให้ทำอะไรบ้าคลั่งเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้
ส่วน Brinkmanship คือการเผชิญหน้า ตาจ้องตากัน และใช้วิธีการบลัฟกันจนไปยืนอยู่ตรงขอบเหว ขืนดันกันไปอีกนิดก็ตกลงไปในหลุมลึก ทำให้เกิดหายนะให้ทั้งตัวเองและอีกฝ่ายหนึ่งได้
กลยุทธ์ brinkmanship ก็คือการยอมเสี่ยงเล่นเกมกันจนถึงไพ่ใบสุดท้ายเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องยอมตามเงื่อนไขของตนเอง
แต่ถ้าหากประเมินพลาด อีกฝ่ายหนึ่งไม่กลัวเกมการเกทับของตน เกมนี้ก็สามารถพลาดท่าเสียที ทำให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบได้เช่นกัน
การที่คิมและทรัมป์เอ่ยอ้างถึง “ปุ่มนิวเคลียร์” กันอย่างโจ๋งครึ่มเช่นนี้คงจะหวังขู่ให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัว แต่เมื่ออีกด้านหนึ่งก็สวนกลับด้วยเกมเดียวกัน โลกก็ย่อมจะตกอยู่ในภาวะตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เมื่อทรัมป์แหย่ด้วยการบอกว่า “ปุ่มนิวเคลียร์ของฉันทำงานได้จริง” ก็อาจจะเป็นการปรามาสว่าปุ่มนิวเคลียร์ของโสมแดงใช้ไม่ได้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคิมน้อยต้องการจะพิสูจน์ให้ทรัมป์เห็นว่า ปุ่มนิวเคลียร์ของเขาก็ทำงานได้เหมือนกัน
ยุ่งแน่ครับ
ที่แน่กว่านั้นก็คือคิมยืนยันนั่งยันว่า เกาหลีเหนือจะไม่มีวันยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ และทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติตอกย้ำว่า อเมริกาจะไม่มีวันเจรจากับเปียงยาง หากยังไม่ระงับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ก็แปลว่าวิกฤติคาบสมุทรเกาหลีถึงมุมอับ
แต่คิมน้อยได้แสดงถึงความไม่ธรรมดาด้วยการประกาศในคำปราศรัยวันปีใหม่เดียวกันนั้นว่า ขณะที่เขาเตือนทรัมป์ว่าอาจกดปุ่มนิวเคลียร์เมื่อไหร่ก็ได้หากถูกรุกราน เขาก็ยื่นไมตรีไปยังเกาหลีใต้ บอกว่าพร้อมจะเจรจาส่งทีมนักกีฬาไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในเดือนหน้าที่เกาหลีใต้
อีกทั้งยังเปิดสายด่วนเกาหลีเหนือ-ใต้ที่ปิดไปสองปีกลับมาใช้ได้อีกเมื่อบ่ายวันพุธที่ผ่านมา
ด้านหนึ่งคิมชกหมัดตรงไปที่คางของทรัมป์ อีกด้านหนึ่ง คิม ก็กระโดดเข้าสวมกอด มูนแจอิน ของเกาหลีใต้
จะเรียกว่าเป็นนโยบาย “นิวเคลียร์พ่วงดอกไม้” ได้หรือไม่ คอยดูตอนต่อไปด้วยใจระทึก!