ทรัมป์จับโสมแดงขึ้นบัญชีดำอีกรอบ คิมน้อยซัดกลับแน่!
พอโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศให้เกาหลีเหนือกลับไปอยู่ในบัญชี “ประเทศสนับสนุนการก่อการร้าย” เท่านั้น
ความหวังที่จะเห็นการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับโสมแดงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามก็พลันหายเข้ากลีบเมฆ
และอย่าได้แปลกใจหากคิมจองอึนจะทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงถึงการตอบโต้ทรัมป์ให้เห็นว่า
“กูไม่กลัวมึง”! ตามสไตล์ดุเดือดขึงขังของเขา
ผมไม่รู้ว่าทรัมป์ได้ประสานกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเรื่องเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิดเพียงใด เพราะหากทรัมป์มีการบอกล่าวกันล่วงหน้ากับปักกิ่งว่าจะประกาศให้เปียงยางกลับไปอยู่ในบัญชีดำของสหรัฐฯอีกรอบ สีจิ้นผิงอาจจะขอให้สหรัฐฯชะลอคำประกาศนั้นก่อน
เหตุเพราะจีนเพิ่งส่ง “ทูตพิเศษ” ที่ชื่อ “ซ้งเทา” (宋涛) ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปเกาหลีเหนือโดยมีภารกิจทางการเพื่อไปบรรยายสรุปให้ผู้นำเกาหลีเหนือให้รู้ถึงผลการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 ที่เพิ่งสิ้นสุดไป
แต่ผมเชื่อว่าเป้าหมายสำคัญกว่านั้นของทูตพิเศษคนนี้คือการไปประเมินท่าทีของคิมจองอึนต่อสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศหลังจากที่มีสัญญาณของความห่างเหินกันเพราะแรงกดดันของสหรัฐฯต่อปักกิ่งให้บีบเปียงยางอย่างต่อเนื่อง
แถลงการณ์หลังการเยือนครั้งนี้สะท้อนว่ามีการตอกย้ำถึง “ความสัมพันธ์แต่ดั้งเดิม” ระหว่างสองประเทศที่มีมายาวนานตั้งแต่คิมอิลซุง (ปู่ของคิมจองอึน) ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
สังเกตว่าจีนกำลังใช้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรคในหลายประเทศในย่านนี้ (กับเวียดนามและลาวด้วย) เพื่อเสริมสร้างความสนิทแนบแน่นอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากการไปมาหาสู่กับในระดับรัฐบาล
ต้องไม่ลืมว่าคิมจองอึนยังไม่เคยไปเยี่ยมเยือนผู้นำจีนเลยตั้งแต่ก้าวขึ้นมาครองอำนาจต่อจากพ่อเมื่อ 6 ปีก่อน
ดังนั้นความรู้สึกเป็น “สหายร่วมรบ” ในอดีตของจีนกับเกาหลีเหนือยังไม่มีความเข้มข้นเท่าที่ควร สีจิ้นผิงจึงใช้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งสองมาเป็นเครื่องมือในการสานความผูกพันขณะที่ความเชื่อมโยงระดับรัฐบาลระหว่างปักกิ่งกับเปียงยางดูเหมือนจะจืดจางลงไป
ทรัมปไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ก่อนยกเรื่องค้าขายคุยกับผู้นำจีนมากกว่าเรื่องเกาหลีเหนือเพราะต้องการจะอวดว่าสามารถทำให้ผู้นำจีนคนนี้ยอมทำตามคำเรียกร้องของตัวเองในการลดการเสียดุลการค้าระหว่างสองประเทศ
แต่ประเด็นเกาหลีเหนือยังเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสหรัฐฯกับจีนอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะการที่ทรัมป์เอาชื่อเกาหลีเหนือกลับเข้าไปในบัญชีรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้ายสากลนั้นเป็นเพียงการส่งสัญญาณว่าจะกดดันเกาหลีเหนือต่อเนื่องเท่านั้น
ไม่ได้มีผลทางปฏิบัติต่อเปียงยางอะไรมากนัก เพราะมาตรการลงโทษและแซงชั่นเกาหลีเหนืออันเกิดจากคำประกาศล่าสุดนั้นคงไม่สามารถทำให้เกาหลีเหนือยอมเลิกการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างไร
ตรงกันข้ามอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ “คิมน้อย” เกิดอาการฮึดฮัดมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อแสดงให้ประชาชนคนเกาหลีเหนือและชาวโลกได้เห็นว่าเขาถูกกลั่นแกล้งจากทรัมป์หนักหน่วงขึ้น ยิ่งสร้าง“ความชอบธรรม” ให้เขาทำอะไรที่เขาทำมาตลอด...และในดีกรีที่เข้มข้นขึ้นด้วยซ้ำไป
ทุกวันนี้ รายชื่อในบัญชี “ประเทศสนับสนุนก่อการร้ายสากล” ของสหรัฐฯมีอิหร่าน, ซูดานและซีเรียซึ่งต่างก็ไม่ได้ยอมถอยให้อเมริกาเพราะแรงกดดันเรื่องนี้แต่อย่างใด
อเมริกาขึ้นบัญชีเกาหลีเหนือเรื่องนี้ครั้งแรกหลังจากกล่าวหาว่า “สายลับ” ของเกาหลีเหนือวางระเบิดเครื่องบินเกาหลีใต้เมื่อปี 1987 มีผลให้มีผู้เสียชีวิต 115 คน พอถึงปี 2008 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับบลิว บุช
ยอมถอดโสมแดงออกจากบัญชีนี้หลังจากมีข้อตกลงเรื่องยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ แต่ยังไม่ทันไร เกาหลีเหนือก็บอกเลิกเงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านั้นหน้าตาเฉย
วันนี้ทรัมป์ทำให้ความหวังที่จะมีการเจรจากับคิมน้อยหดหายไปต่อหน้าต่อตา...ต้องลุ้นกันอีกรอบว่าขีปนาวุธลูกใหม่จะถูกปล่อยจากเกาหลีเหนือวันไหนอีกครั้ง!