ไม่มีเมืองไหนปลอดภัย จากเหตุก่อการร้ายกลางฝูงชน!

ไม่มีเมืองไหนปลอดภัย จากเหตุก่อการร้ายกลางฝูงชน!

หากบวกเอาบาร์เซโลน่าของสเปนที่ถูกผู้ก่อการร้ายโจมตีเมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา

ในช่วงสามปีที่ผ่านมากลุ่มก่อเหตุได้พุ่งเป้าไปไม่น้อยกว่า 8 เมืองใหญ่ของยุโรปแล้ว

ปารีส, ลอนดอน, บรัสเซลส์, นิซ, โคเปนเฮเกน, เบอร์ลิน, แมนเชสเตอร์...และล่าสุดบาร์เซโลน่า

วิธีการก่อเหตุมีความละม้ายกัน เป้าโจมตีเหมือนกันตรงที่เป็นจุดที่ผู้คนพลุกพล่าน และหากเป็นช่วงกลางวันแสก ๆ ได้ยิ่งจะเหมาะสำหรับปฏิบัติการให้บรรลุเป้าประสงค์

เพราะ ISIS ต้องการเป็นข่าวด้วยการทำให้มีคนตายและบาดเจ็บมากที่สุด

ไม่สนใจว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง คนแก่ ผู้หญิง และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใด ๆ

ครั้งล่าสุดผู้ก่อการร้ายใช้รถตู้พุ่งเข้าชนฝูงชนด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในชุดที่ผู้คนขวักไขว่ที่สุด ณ เวลาที่นักท่องเที่ยวกำลังรวมตัวกันหนาแน่นที่สุด

นั่นคือที่ Plaza de Cataluna กับ Las Ramblas ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง

สร้างเหตุพุ่งชนแล้ว มือปืนสองคนก็บุกเข้าร้านอาหารในย่านนั้นและจับตัวคนในร้านหลายคนเป็นตัวประกัน

เมื่อตำรวจสเปนบุกเข้ามา ก็เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง

ยอดคนตายขณะที่เขียนอยู่นี้อยู่ที่ 13 และบาดเจ็บไม่ต่ำกว่าร้อย

ไม่แต่เมืองใหญ่เท่านั้น ปีที่แล้วที่เมืองท่องเที่ยวระดับโลกนิซของฝรั่งเศส ผู้ก่อเหตุร้ายคนหนึ่งเช่ารถตู้แล้วขับเข้าชนฝูงคนที่กำลังเฉลิมฉลองวันสำคัญคือ Bastille Day บนถนน Promenade des Anglais

เหตุการณ์วันนั้นมีคนตาย 86 คน และบาดเจ็บหลายสิบคน

ก่อนคริสมาสต์ไม่กี่วันเมื่อปีที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุร้ายขโมยรถตู้ขับเข้าชนนักช็อปในตลาดกลางเมืองเบอร์ลิน

วันนั้นมีคนตาย 12 บาดเจ็บหลายสิบคนเช่นกัน

ต่อมาเหตุเกิดหน้ารัฐสภาอังกฤษที่ลอนดอน มีคนขับรถตู้วิ่งเข้าชนคนที่เดินอย่างคึกคักตรงสถาน London Bridge หลังจากนั้นคนขับก็วิ่งลงมาไล่แทงคนด้วยมีดอย่างบ้าคลั่งในตลาด Borough Market

สังเกตุว่าทุกจุดที่ก่อการร้ายในเมืองใหญ่ของยุโรปล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่เปิด ผู้คนหนาแน่น กลางวันแสก ๆ ลงท้ายน้อย ก่อการโดยมือปืนเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก ๆ ที่ประชิดตัวผู้เป็นเป้า

หลังเกิดเหตุไม่นาน กลุ่ม ISIS จะประกาศว่าเป็นผลงานของตน หรือไม่ก็อ้างว่าเป็นฝีมือของกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับปฏิบัติการระดับสากลของตน

นักวิเคราะห์ตะวันตกบอกว่านี่เป็นสัญญาณว่ากลุ่ม ISIS กำลังถูกไล่ล่าในฐานหลักของตนในซีเรียและอิรัก จึงต้องกระจายตัวออกมาสร้างกิจกรรมในประเทศต่าง ๆ ด้วยวิธีการ “เอาตอนเผลอ” และ “สร้างความโกลาหลไปทั่วโลก”

ส่วนความจริง ISIS เกี่ยวข้องโดยตรงมากน้อยเพียงใด หรือคำกล่าวอ้างมีส่วนของความจริงมากน้อยหรือไม่อย่างไรไม่มีใครสามารถยืนยันได้

วิธีป้องกันเหตุร้ายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ผู้ก่อการร้ายได้ชัยชนะด้วยการตั้งระบบป้องกันเหตุร้ายเข้มข้นจนผู้คนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติสุขได้

ด้วยเหตุนี้ มาตรการป้องกันจึงแฝงตัวอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ยังเปิดให้กิจกรรมของประชาชนดำเนินไปเหมือนเดิม ไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายอ้างว่าประสบความสำเร็จด้วยการทำให้วิถีชีวิตของผู้คนต้องถูกจำกัดลงเพราะความหวาดกลัว

ต่อไปนี้ไม่มีจุดไหนปลอดภัย....ยิ่งเมืองใหญ่ ยิ่งเมืองดัง ยิ่งกลางจตุรัสเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านยิ่งเสี่ยงกับเหตุร้าย

ที่เกิดเรียกกันว่าเป็น “เหตุร้ายที่คาดไม่ถึง” บัดนี้กลายเป็น “เหตุร้ายที่ต้องคาดการณ์ล่วงหน้า”!