เอเชียในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

เอเชียในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

เมื่อวันพฤหัสที่แล้ว ผมได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยสยาม ให้ไปร่วมงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ

ประจำปีในหัวข้อ เอเชียในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ และได้ไปเป็นองค์ปาฐกให้กับงานสัมมนาในหัวข้อเดียวกัน วันนี้ก็เลยอยากจะนำประเด็นต่างๆ ที่ได้ให้ความเห็นไปมาแชร์ให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ

ปีนี้เป็นปีสำคัญของภูมิภาคเอเชีย เพราะเป็นปีครบรอบยี่สิบปีของวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 1997 ซึ่งบทเรียนสำคัญของวิกฤตคราวนั้นก็คืออันตรายที่มาจากการก่อหนี้ในระดับที่มากเกินความสามารถของระบบเศรษฐกิจจะรองรับได้ ซึ่งได้เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดวิกฤต ที่สำคัญ ชัดเจนว่าวิกฤตเศรษฐกิจสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา และการก่อหนี้ที่สร้างความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตก็เป็นได้ทั้งหนี้ภาครัฐและหนี้ภาคเอกชน ถ้าประเทศก่อหนี้มากเกินความสามารถที่เศรษฐกิจจะชำระคืนได้ วิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดขึ้น 

ดังนั้นการป้องกันการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องมุ่งไปที่การป้องกันไม่ให้มีการก่อหนี้เกินความสามารถของระบบเศรษฐกิจที่จะชำระคืน ซึ่งตัวแปรสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวก็คือ การดำเนินนโยบายด้านการเงินการคลังอย่างมีวินัย ระบบเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นที่จะช่วยเศรษฐกิจให้สามารถปรับตัวต่อแรงกระทบต่างๆที่อาจเกิดขึ้น และระบบการเงินของประเทศที่เข้มแข็ง มั่นคง และให้ความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

ในกรณีของเอเชีย หลังเกิดวิกฤต ภูมิภาคเอเชียก็เข้าสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็ง ให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไปและเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตในอนาคต โดยการปฏิรูปมีการดำเนินการทั้งในเรื่องนโยบายการเงินและระบบอัตราแลกเปลี่ยน การกำกับตรวจสอบระบบธนาคารพาณิชย์ การกำกับดูแลหรือธรรมาภิบาลในภาคเอกชน และการสร้างกลไกระดับภูมิภาคที่สอดส่องดูแลความเสี่ยงของการเกิดวิกฤต รวมถึงกลไกที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับประเทศในภูมิภาคเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤต 

การปฏิรูปเหล่านี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนยี่สิบปีต่อมาไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นอีกในเอเชีย และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียก็มีความเข้มแข็งมากจนสามารถทัดทานผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 ได้อย่างน่าพอใจ ไม่มีประเทศในเอเชียประสบปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 ขณะเดียวกันความเข้มแข็งของเศรษฐกิจเอเชียก็ทำให้ภูมิภาคเอเชียสามารถประคับประคองและเป็นผู้นำการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ตั้งแต่หลังปี 2008 เป็นต้นมา ช่วยเศรษฐกิจโลกให้มีการขยายตัวที่ต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจของประเทศหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมในยุโรปจะชะลอตัวรุนแรงจากผลของวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปี 2008

ตัวเลขเศรษฐกิจชี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียเฉลี่ยสูงกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมาตลอด ตั้งแต่ปี 2000 ต่อเนื่องมากว่าสิบห้าปี ทำให้ในปี 2015 เศรษฐกิจเอเชียมีสัดส่วนในผลผลิตมวลรวมหรือจีดีพีโลกกว่าร้อยละ 46 (คำนวณตามราคาที่วัดตามอำนาจซื้อทางเศรษฐกิจ) มีสัดส่วนของประชากรโลกกว่าร้อยละ 59 และสร้างการขยายตัวให้กับเศรษฐกิจโลกมากกว่าร้อยละ 50 ของการขยายตัวในเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ที่สำคัญความสามารถในการแข่งขันและความสามารถทางนวัตกรรมของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียก็ดีขึ้น คือในประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงสุดห้าอันดับแรกของโลกในปี 2015 มีเศรษฐกิจเอเชียติดอยู่ในกลุ่มนี้สองประเทศคือ ฮ่องกงและสิงคโปร์ ขณะที่ประเทศที่มีนวัตกรรมสูงสุดห้าอันดับแรกของโลกในปี 2015 ก็มีเศรษฐกิจเอเชียติดอันดับอยู่สองประเทศเช่นกันคือ เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เหล่านี้คือตัวอย่างของความเข้มแข็งของภูมิภาคเอเชียที่มีขณะนี้

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจโลกยุคใหม่ก็คือเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนที่กระทบการทำธุรกิจและเศรษฐกิจ สำหรับปีนี้ประเด็นความไม่แน่นอนสำคัญในเศรษฐกิจโลกก็คือปัญหาภูมิศาสตร์การเมืองหรือ Geopolitics ปัญหาความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจมีการกีดกันทางการค้ามากขึ้น โอกาสของการเกิดภาวะชะลอตัวรุนแรงในจีนหรือ (hard-landing) ก็ยังเป็นประเด็นที่ตลาดการเงินห่วงใย แรงกดดันจากภาวะเงินฝืดในระบบเศรษฐกิจโลกก็ยังเป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์ห่วงใยเช่นกันจากราคาน้ำมันที่ได้ลดต่ำลงและยังไม่ฟื้นตัว การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็อาจกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกในระยะต่อไป ขณะที่การออกมาจากสมาชิกสหภาพยุโรปของประเทศอังกฤษก็เป็นความไม่แน่นอนที่กระทบการตัดสินใจของธุรกิจ

แต่ภายใต้ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดชี้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น จากการส่งออกของประเทศต่างๆที่เริ่มฟื้นตัว สำหรับเอเชียนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจเอเชียปีนี้น่าจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 5 ซึ่งบางประเทศจะได้ประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐในภาวะที่ภาพรวมการลงทุนของภาคเอกชนในภูมิภาคยังซบเซา การขยายตัวที่ดีในไตรมาสแรกของจีนปีนี้ทำให้ความห่วงใยในเรื่องภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจหรือ hard-landing ได้ลดต่ำลง ตลาดการเงินเองก็ดูสบายใจขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ดูดีขึ้นสะท้อนจากการไหลกลับของเงินทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียอีก สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของเอเชียปีนี้ดูจะไม่เลวร้ายแม้อัตราการขยายตัวจะไม่ดีมาก ทำให้ปีนี้จะเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจเอเชียจะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง

คำถามที่ตามมาก็คือ จะมีอะไรไหมที่จะน่าห่วงถ้าเรามองไกลออกไปสองถึงห้าปีข้างหน้า ในเรื่องนี้ ผมได้ให้ความเห็นไปว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจเอเชียและระบบการเงินขณะนี้ได้ปรับตัวดีขึ้นกว่ายี่สิบปีก่อนมาก นอกจากนี้ฐานะเงินทุนสำรองทางการที่เข้มแข็ง และกลไกความร่วมมือต่างๆในภูมิภาคที่เกิดขึ้น ก็น่าจะช่วยลดโอกาสการเกิดวิกฤตในอนาคตได้ ขณะที่ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ก็มีพื้นที่ทางนโยบายอยู่พอสมควรที่จะใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถ้าจำเป็น ขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองที่มีมากขึ้นในภูมิภาคก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อการทำนโยบาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งที่ต้องติดตามใกล้ชิด และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถประมาทได้ในทางนโยบาย สำหรับเอเชีย ความท้าทายสำคัญจากนี้ไปก็คือการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจของภูมิภาค เพื่อให้เศรษฐกิจภูมิภาคสามารถขยายตัวได้ต่อไป เพื่อประโยชน์ของคนในเอเชีย โดยเฉพาะในบางประเทศ เช่น ประเทศไทยที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าร้อยละ 3 อย่างที่เห็นอยู่ขณะนี้

ในระยะยาว ปัจจัยต่างๆเมื่อพิจารณาแล้วล้วนจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพในการเติบโต สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ดีขึ้น การเติบโตของชนชั้นกลางที่จะเป็นกำลังสำคัญต่อการเติบโตของการใช้จ่ายและการบริโภคในภูมิภาค การขยายตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคโดยเฉพาะการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศในภูมิภาค รวมถึงการลงทุนต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นที่จะเชื่อมต่อประเทศในภูมิภาคให้ติดต่อกันได้สะดวกมากขึ้น รวมทั้งกับประเทศนอกภูมิภาค เช่น โครงการสร้างถนนและการเชื่อมต่อทางทะเลของจีน (Roads and Belts Project) สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่จะส่งเสริมศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียได้มากในช่วงห้าถึงสิบปีข้างหน้า

ดังนั้น ความท้าทายของประเทศในเอเชียก็คือ ลดข้อจำกัดและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อให้คนในประเทศสามารถเข้าถึงและได้ประโยชน์จากโอกาสและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยสิ่งที่ประเทศในเอเชียควรให้ความสำคัญก็คือ การปรับปรุงเรื่องผลิตภาพการผลิต (productivity) การสร้างโอกาสให้ประชากรเข้าถึงการบริการทางการเงินเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูปด้านการศึกษา ด้านนวัตกรรม การแก้ไขปัญหาด้านธรรมาภิบาลในภาครัฐและภาคเอกชน และการสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตสามารถสร้างให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตและประชาชนของประเทศได้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น เหล่านี้คือความท้าทายที่ผู้นำนโยบายในเอเชียต้องก้าวข้ามและทำให้เกิดขึ้น