400 คำตอบต่อ 4 คำถาม

400 คำตอบต่อ 4 คำถาม

เมื่อวาน ผมเขียนถึงคำถาม 2 ข้อจากทั้งหมด 4 ข้อที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ฝากให้ประชาชนตอบ

ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดไปยังศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด

สองข้อแรกถามว่า

ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่

หากไม่ได้ จะทำอย่างไร

ผมได้วิเคราะห์ไปว่าคำตอบมาได้หลายรูปแบบ แล้วแต่ผู้ตอบจะมองว่าผู้ถามมีเจตนาในการถามอย่างไร เพราะทุกคำถามย่อมจะมีเจตนาแฝงอยู่ และทุกคำตอบก็ย่อมมีปฏิกิริยาต่อเจตนานั้น ๆ

ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้ในการทำโพลทั้งหลายทั้งปวง คำถามที่ตั้งก็อาจตีความไปได้หลายทาง ภาษาที่ใช้ก็อาจถูกตีความว่าเป็นการ “ถามนำ” ได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยจากเนื้อหาสาระของผู้เสพข้อมูลเอง

คำถามต่อมาคือ

การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงเรื่องอนาคตของประเทศและเรื่องอื่น ๆ เช่นประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิบัติหรือไม่นั้น ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก จะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร

รูปแบบของการเขียนคำถามที่สามสะท้อนว่าคนถามมีความเชื่อว่า การเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้หมายถึงประชาธิปไตย จะต้องมี “ยุทธศาสตร์” และเรื่องอื่น ๆ ที่คำนึงถึง “อนาคตของประเทศ” ด้วย

คนที่ต้องตอบคำถามนี้ก็ย่อมจะเกิดคำถามในใจขึ้นมาทันทีว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งใหม่นั้นจะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับ “อนาคตของประเทศและเรื่องอื่น ๆ เช่นยุทธศาสตร์และการปฏิบัติ...” หรือไม่

คนที่ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ได้วาง “ยุทธศาสตร์” เกี่ยวกับอนาคตของชาติหรือเปล่า เพราะคนสมัครรับเลือกตั้งและคนที่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ก็คงต้องทำตามกติกามารยาทที่วางเอาไว้ ไม่อาจจะเดินไปหน้าคูหาเลือกตั้งแล้วตะโกนถามว่า ถ้าฉันทำหน้าที่พลเมืองด้วยการหย่อนบัตรแล้ว ผลที่ตามมาจะมี “ยุทธศาสตร์” ของชาติหรือไม่ หรือคนที่ฉันเลือกจะทำให้เกิดยุทธศาสตร์หรือไม่

ว่าไปแล้ว การเลือกตั้งในความหมายพื้น ๆ ก็คือการเลือกตัวแทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่แทนตัวเอง ส่วนเราจะเลือกใครหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าคนที่อาสานั้นเขามีความคิดความอ่านอย่างไรที่จะทำให้เราไว้ใจว่าเขาหรือเธอจะเป็นตัวแทนที่ดีของเราได้

ส่วนเขาจะ “คำนึงถึงอนาคตของประเทศ” หรือไม่ก็ย่อมอยู่ที่การเสนอนโยบายระหว่างการหาเสียงซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้มากน้อยเพียงใด

กลไกของกระบวนการเลือกตั้งก็คือ การที่ประชาชนจะต้องตรวจสอบ และเฝ้าติดตามการทำงานของตัวแทนที่เลือกเข้าไป ว่าจะต้องเป็นไปตามความคาดหวังของผู้ที่เลือกเขาเข้าไป

ซึ่งก็จะโยงไปถึงคำถามข้อที่ 4 อันเกี่ยวกับ “กลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี” ว่าควรจะมีโอกาสเข้าสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่

คำถามนี้มีคำตอบอยู่แล้วในตัว เพราะใครก็ตามที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทุกกรณีก็ไม่ควรจะให้ย่างกรายเข้าใกล้การเมืองอีก

แต่ชาวบ้านที่ถูกถามข้อนี้ก็จะต้องมีคำถามในใจว่ากติกาที่ “แม่น้ำทั้งห้าสาย” ช่วยกันร่างขึ้นมานั้นควรจะแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ต้น ไม่จำเป็นต้องมาถามประชาชนอีก เพราะใครมี “พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทุกกรณี” ก็ควรจะถูกกันออกไปตั้งแต่ต้นทาง อย่าให้ประชาชนต้องเดือดร้อนรำคาญใจกับคนเหล่านี้เลย

ยิ่งถามว่าถ้าคนเช่นนี้เข้ามาได้อีกจะให้ใครแก้ไข และจะแก้ไขอย่างไร ก็ยิ่งทำให้เกิดความสับสนว่ากติกาที่เขียนขึ้นมานั้น ไม่สามารถป้องกันหรือจัดการกับคนเช่นว่านี้หรือ

ยังจะต้องให้หาใครที่ไม่ใช่ประชาชนมาแก้ปัญหานี้หรือกระนั้นหรือ

สรุปว่าคำถาม 4 ข้อที่นายกฯฝากถามประชาชนนั้นไป ๆ มา ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องถาม เพราะมีคำตอบก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่ในตัว

จะว่าไป ทั้ง 4 ข้อก็อาจไม่ใช่คำถามที่นายกฯ ต้องการคำตอบจากชาวบ้านแต่อย่างไร

เพราะคนถามมีคำตอบอยู่แล้ว และคนที่ถูกขอให้ตอบก็ตั้งคำถามนี้มาตั้งแต่ต้น เพื่อให้คนถามได้หาคำตอบให้คนถูกถามวันนี้