ทำไม? 4 พรรคใหญ่ ต้องจับมือกัน
ข้อเสนอของผู้อาวุโสทางการเมือง พิชัย รัตตกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ให้ 4 พรรคการเมืองใหญ่ “จับมือกัน” เพื่อเดินไปสู่การเลือกตั้ง มีเสียงขานรับอยู่พอประมาณ
เป็นข้อเสนอที่ระบุชัดว่าเพื่อสู้กับ“พรรคทหาร” และสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจ
และเป็นข้อเสนอที่พรรคการเมืองเห็นพ้องด้วย เสมือนว่าได้รับ“สัญญาณ”อันเดียวกัน แม้ว่าจะมีการเล่นแง่ สร้างเงื่อนไขอยู่บ้างแต่ก็พอ“เป็นพิธี”
2 พรรคเบอร์ต้นอย่างเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ คิดเหมือนกันว่าทุกพรรคจะต้องลดทิฐิ แล้วหันหน้ามากลมเกลียวกัน เพื่อให้การเลือกตั้งสามารถเดินไปได้ตาม“ระบบปกติ”
ขยายความด้วยเสียงจากชาติไทยพัฒนา ว่าการจับมือกันไม่ได้หมายถึงการทำ“สัญญาประชาคม” ว่าจะร่วมกันตั้งรัฐบาล หรือเป็น“รัฐบาลแห่งชาติ”อย่างที่นักวิชาการบางคนเสนอ
แต่จับมือกันเพื่อให้เกิดการเลือกตั้ง ส่วนใครมีเสียงข้างมากก็ได้โอกาสในการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลไปก่อน ส่วนพรรคที่ไม่ได้รับการ“เชื้อเชิญ”ก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน เหมือนการเมืองที่เป็นมาในอดีต
เป็นคำตอบว่าวันนี้ (แทบ) ทุกพรรคอยากให้มีการ“เลือกตั้ง” ไม่อยากให้มีการเดินนอกกรอบกติกา และ“หวาดผวา” ว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง
เพราะยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าจะมีความ“ไม่สงบ”เกิดถี่และรุนแรงมากขึ้น
นับตั้งแต่วันค้นคลังอาวุธ“โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ที่ฉับพลันทันทีได้ทำให้คนทั้งประเทศรู้สึกว่าบ้านเมืองยังไม่สงบ และยังมีกลุ่มคนที่พร้อมจะสร้างความรุนแรง
มาจนถึงเหตุการณ์ระเบิดหน้าอาคารเก่ากองสลากฯ ตามด้วยหน้าโรงละครแห่งชาติ และโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ
ท่ามกลางทุกเหตุการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำหลายครั้งว่าหากบ้านเมืองไม่สงบ จะ“อยู่ต่อ”ยิ่งสร้างความกังวลและคิดไปต่างๆ นานา
โดยเฉพาะเมื่อนายกฯ ผุด “4 คำถามอนาคตชาติ”ออกมาถามประชาชน ได้ทำให้ความกังวล ความสงสัยของหลายฝ่ายกลายเป็น“ความเชื่อ” โดยเฉพาะประโยคเด็ดที่ว่า... หากวันหน้าถ้าประยุทธ์ไม่อยู่ จะเรียกหาใคร?
จากนี้ต้องลุ้นกันต่อว่า“คำตอบ”ที่ข้าราชการมหาดไทย รวบรวมเสนอ“นาย”จะเป็นอย่างไร