เมื่อความเป็นผู้นำของประธานาธิบดี ถูกตั้งคำถาม

หลังพ้นร้อยวันการรับตำแหน่งประธานาธิบดี ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน
ข่าวและความเห็นต่างๆ ก็เริ่มรุมกระหน่ำวิจารณ์การทำงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และประเด็นธรรมาภิบาลส่วนตัว ซึ่งทั้งหมดมาจากสไตล์การทำงาน และพื้นเพความเป็นนักธุรกิจของเขา ที่ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับคนอเมริกันได้ โดยเฉพาะประเด็นผลประโยชน์ขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ กับประโยชน์ส่วนตนในฐานะเจ้าของธุรกิจ ล่าสุดผลสำรวจการยอมรับประธานาธิบดีทรัมป์ (Approval Rating) ได้ลดลงต่ำกว่า 40% ซึ่งก็ถือว่าต่ำ
ประเด็นแรก เรื่องการเมือง ประเด็นที่เป็นที่สงสัย และท้าทายความเป็นผู้นำของประธานาธิบดีทรัมป์ก็คือ ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างทีมงานของเขากับรัฐบาลรัสเซีย ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ซึ่งมี 2 เรื่อง
1. รัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะท่วมท้น
2. ความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล ที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้ง เข้ารับตำแหน่งทางการเมืองกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซีย เช่น กรณีนายไมเคิล ฟลินน์ (Michael Flynn) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีทรัมป์ (US National Security Advisor) ที่เพิ่งลาออกหลังรับตำแหน่งเพียง 28 วัน จากข้อสงสัยเกี่ยวกับความใกล้ชิด ระหว่างเขากับเจ้าหน้าที่รัสเซียทั้งในช่วงก่อนนายโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งนายฟลินน์เป็นทีมงานของนายทรัมป์ช่วงหาเสียง และหลังจากนายฟลินน์เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เข้าอาจได้พูดกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซีย ช่วงอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาทำให้ได้ตัดสินใจลาออก
ทั้งสองประเด็นได้นำไปสู่การสอบสวนโดยสำนักงานสืบสวนกลางแห่งชาติ (FBI) แต่ต้นเดือนนี้นายเจมส์ โคมีย์ (James Comey) ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนกลางแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ดูแลสูงสุดของหน่วยงานที่กำลังทำการสอบสวน ก็ถูกประธานาธิบดีสหรัฐปลดออกจากตำแหน่ง ทำให้การสอบสวนต้องหยุดลงโดยปริยาย การปลดนายโคมีย์ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกโจมตี ว่าใช้อำนาจทางการเมืองแทรงแซงการทำหน้าที่ของหน่วยงานด้านความยุติธรรมของประเทศ ล่าสุดแม้จะมีการตั้งคณะที่ปรึกษาพิเศษเพื่อสอบสวนเรื่องนี้โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ แต่ความเป็นอิสระของที่ปรึกษาชุดใหม่ก็ยังเป็นประเด็น
สอง เรื่องเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ได้รับการตอบรับดีในช่วงแรกจากตลาดการเงิน แต่มาตรการเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมาช่วง 100 วันแรก ก็ชี้ว่านโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์มีความขัดแย้งในตัวมาก และอาจเป็นเพียงนโยบายที่สะท้อนวิธีคิดแบบนักธุรกิจ โดยนักธุรกิจ เพื่อหาประโยชน์ให้กับภาคธุรกิจ มากกว่าจะสร้างประโยชน์หรือแก้ไขปัญหาของประเทศที่คนจำนวนมากจะได้ประโยชน์ โดยตัวนโยบายถูกมองจากนักเศรษฐศาสตร์ว่าไม่มีหลัก หรือกรอบแนวคิดที่ชัดเจน เป็นเพียงความคิดแบบนักธุรกิจเพื่อประโยชน์ของธุรกิจ กล่าวคือ
เป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ ต้องการสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจสหรัฐ เพื่อให้เกิดการจ้างงานให้คนอเมริกันมีงานทำ โดยตามนโยบายของทรัมป์การเติบโตจะมาจาก
- การลดภาษี เพื่อให้ภาคธุรกิจมีรายได้หลังเสียภาษีมากขึ้นและนำไปสู่การลงทุน ซึ่งผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการลดภาษีก็คือ นิติบุคคลหรือบริษัทธุรกิจ กับผู้มีรายได้สูงที่จะเสียภาษีน้อยลง
- การเติบโตจะมาจากการลดกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ ของภาคทางการ (Deregulation) ให้ภาคธุรกิจมีข้อจำกัดน้อยลงในการทำธุรกิจ โดยมองว่า กฎระเบียบที่มีอยู่ (มาก) เป็นต้นทุน และสร้างข้อจำกัดให้กับการเติบโตของธุรกิจ ถ้ากฎระเบียบลดลง ก็จะดีต่อธุรกิจ ทำให้ภาคธุรกิจสามารถใช้ทรัพยากรการเงินที่มีอยู่ ทำอะไรได้มากขึ้น เพราะการควบคุมมีน้อยลง อันนี้คือการให้ประโยชน์เต็มๆ กับภาคธุรกิจที่การกำกับดูแลจากภาคทางการจะน้อยลงกว่าเดิม
- การเติบโตจะมาจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่มุ่งรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ เป็นนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ที่จะกีดกันการค้า การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ลดการลงทุนของบริษัทสหรัฐในต่างประเทศ ให้บริษัทสหรัฐมาลงทุนในประเทศสหรัฐแทน เพื่อสร้างงานให้คนอเมริกัน มองว่าการค้าระหว่างประเทศที่เสรี เป็นสาเหตุทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขาดดุลการค้ามาก สินค้าสหรัฐขายไม่ออก เพราะการเข้าครองตลาดของสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ทำให้คนสหรัฐตกงานและประเทศขาดดุลการค้า ดังนั้น การเข้าไปกีดกันหรือแทรงแซง เพื่อให้การแข่งขันทางการค้ามีความเป็นเสรีน้อยลง จะช่วยลดการขาดดุลการค้าและสร้างงานให้คนอเมริกันทำ
แนวคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจชอบ เพราะนักธุรกิจไม่ชอบเสียภาษี ไม่ชอบกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบของทางการ และไม่ชอบการแข่งขัน ดังนั้นสิ่งที่ประธานาธิบดีสหรัฐกำลังทำอยู่ในแง่นโยบายเศรษฐกิจต้องถือว่าถูกใจนักธุรกิจเป็นที่สุด แต่นโยบายดังกล่าวจะไม่ดีกับเศรษฐกิจสหรัฐอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้ฐานะการคลังของประเทศแย่ลงจากรายได้ภาษีที่ลดลง เกิดความไม่เป็นธรรม เกิดการเอารัดเอาเปรียบ และสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศจากที่การทำธุรกิจจากนี้ไปจะมีการควบคุมดูแลโดยภาคทางการน้อยลง นอกจากนี้นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมก็จะลดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะสินค้าที่ผลิตในสหรัฐจะมีต้นทุนสูง แข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศไม่ได้ ผู้บริโภคสหรัฐจะต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น กระทบความเป็นอยู่ในที่สุด
สาม เรื่องธรรมาภิบาลจากการทำหน้าที่ประธานาธิบดีในฐานะบุคคลสาธารณะ จุดอ่อนของนักธุรกิจที่เข้ามาเล่นการเมืองที่พบบ่อย ก็คือ ยังเป็นนักธุรกิจอยู่แม้จะมีตำแหน่งการเมือง ทำให้ในที่สุดมักเกิดปัญหาผลประโยชน์ขัดแย้ง เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างประโยชน์ของประเทศ และประโยชน์ของตนเองในฐานะเจ้าของกิจการ ซึ่งในกรณีของทรัมป์ อาณาจักรธุรกิจของเขาใหญ่มากมีเครือข่ายธุรกิจมากถึง 140 บริษัท ลงทุนใน 25 ประเทศทั่วโลก
ในเรื่องนี้ประธานาธิบดีสหรัฐเคยให้ความเห็นว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของเขาอีกต่อไป เมื่อเป็นประธานาธิบดี จะมอบการบริหารธุรกิจทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของลูกชาย โดยตัวเขาจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือให้คำปรึกษาใดๆ ในประเด็นนี้สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมาภิบาลต้องการเห็นก็คือนายทรัมป์แยกตัวออกจากธุรกิจของเขาอย่างชัดเจน เช่น ขาย หรือมอบให้ผู้จัดการอิสระ (Trust) เป็นผู้ดูแลหรือบริหารธุรกิจของเขาแทน ไม่ใช่บุคคลในครอบครัว นอกจากนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีของตนเอง ขณะที่ลูกชายที่บริหารธุรกิจก็ได้รับการต้อนรับจากรัฐบาลต่างประเทศและบริษัทต่างๆ ในฐานะลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐ ยังมีการออกโครงการลงทุนใหม่ๆ ในต่างประเทศ ทำให้หมิ่นเหม่ในเรื่องผลประโยชน์ขัดแย้งและธรรมาภิบาล
นี่คือข้อสังเกตและคำวิจารณ์ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องก้าวข้ามให้ได้ในฐานะผู้นำประเทศ เพื่อสร้างความไว้วางใจ หรือ Trust ให้เกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับประชาชนสหรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำประเทศ เพราะถ้า Trust ไม่มี การอยู่ต่อของเขาในฐานะนักการเมืองก็จะยาก เรื่องนี้จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเป็นเรื่องที่นักลงทุนให้ความสนใจและติดตาม




