ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขุมทรัพย์ของธุรกิจรีไซเคิลขยะ

ปัจจุบัน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ได้กลายเป็นขุมทรัพย์ที่สามารถสร้างงานและสร้างรายได้
ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจรีไซเคิลขยะ เนื่องจากในขยะอิเล็กทรอนิกส์ประกอบไปด้วยแร่โลหะหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน ทองแดง อะลูมิเนียม ซึ่งแร่โลหะดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 6-8 เท่าของต้นทุนการรับซื้อขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนที่สูงมากนัก
อีกทั้ง ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เกิดจากภาคองค์กรธุรกิจหรือองค์กรของรัฐ และที่เกิดจากการบริโภคของภาคครัวเรือน ซึ่งสอดคล้องไปกับความก้าวหน้าทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริโภคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่นับวันจะมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ธุรกิจรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจและมีศักยภาพเติบโตได้ในอนาคต
ปัจจุบัน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยส่วนใหญ่ มีแหล่งกำเนิดมาจากชุมชนที่เกิดจากการบริโภคของภาคครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 85% ของปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วงปี 2556-2559 ประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชนโดยเฉลี่ยประมาณ 380,605 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นราว 2.2% ต่อปี โดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 64.8% ของปริมาณของเสียอันตรายที่เกิดขึ้นในชุมชนทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชนดังกล่าว กลับมีสัดส่วนการเก็บรวบรวมเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้เพียง 7.1% ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดจากชุมชนทั้งหมด นั่นเป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่มักทิ้งซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ปะปนกับขยะประเภทอื่น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ด้วยอุปสรรคในการเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหลักของขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทย ประกอบกับการที่มีผู้ประกอบการรีไซเคิลขยะรายใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้ประกอบการรายหนึ่งๆ ไม่สามารถเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ในปริมาณมากอย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ไทยโดยส่วนใหญ่ ไม่มีแรงจูงใจในการใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงในการบดแยกและสกัดโลหะมีค่า เนื่องจากมีต้นทุนสูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ปัจจุบันผู้ประกอบการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก จะมุ่งเน้นสกัดเพียงโลหะมีค่าอย่างทองคำและเงินเท่านั้น เนื่องจากทำได้ง่าย สามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง อีกทั้งยังใช้ต้นทุนต่ำ จึงส่งผลให้ตลาดรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทยมีมูลค่าไม่สูงมากนักตามที่ควรจะเป็น
โดยจากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีมูลค่าประมาณ 4,770 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2560 น่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 4,920-5,000 ล้านบาท หรือเติบโตในกรอบแคบราว 3.1-4.8% สอดคล้องกับการขยายตัวของปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชนในไทย
อย่างไรก็ดีมองว่า ในระยะข้างหน้า ธุรกิจรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยศักยภาพการเติบโตของธุรกิจรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยน่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยผลักดันหลักอยู่ 2 ประการ คือ
การยกระดับระบบบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทยให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยปัจจุบัน ภาครัฐมีเป้าหมายในการรวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชนไปกำจัดอย่างถูกต้องไม่น้อยกว่า 30% ของปริมาณของเสียอันตรายจากชุมชนทั้งหมด ภายในปี 2564 ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชนที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20%
การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการสกัดโลหะจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหะหลากหลายชนิดขึ้น โดยเฉพาะโลหะมีค่าหายากอย่างแพลเลเดียมและอินเดียมที่มักมีอยู่ในชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสกัดแร่โลหะดังกล่าวออกมาจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง จึงทำให้เศษซากขยะอิเล็กทรอนิกส์บางส่วนที่มีส่วนประกอบของโลหะเหล่านั้น ถูกส่งออกไปยังต่างประเทศที่มีเทคโนโลยีในการสกัด อาทิ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ เป็นต้น หรือบางส่วนอาจถูกทำลายโดยไม่ถูกสุขลักษณะ ส่งผลให้ตลาดรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทยขยายตัวได้ไม่เต็มศักยภาพ
ในระยะข้างหน้า หากผู้ประกอบการไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีหรือมีการลงทุนใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงในการสกัดโลหะดังกล่าว น่าจะทำให้ตลาดรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า18% จากมูลค่าตลาดในปัจจุบันที่มีข้อจำกัดทางด้านการใช้เทคโนโลยี
ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถยกระดับระบบการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถจัดเก็บและรวบรวมขยะจากชุมชนเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ราว 20% ของปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดจากชุมชนทั้งหมด ในระยะอีก 4 ปีข้างหน้า รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการสกัดโลหะมีค่าหายากที่หลากหลายชนิดขึ้น น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ตลาดรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ในไทยสามารถขยายตัวได้อย่างมีศักยภาพ
โดยตลาดรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ไทยในปี 2564 น่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10,290-11,420 ล้านบาท ขยายตัวกว่า 109.1-128.3% จากปี 2560







