จาก New World Order เป็น New World Disorder

จาก New World Order เป็น New World Disorder

เดิมศัพท์การเมืองระหว่างประเทศพูดถึง “ระเบียบโลกใหม่” แต่ตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

ที่ทรงอิทธิพลที่สุด นักวิเคราะห์บางคนก็เปลี่ยนคำนี้เป็น “ระเบียบโลกใหม่อันวุ่นวาย”

จาก order เป็น disorder แปลว่าจากเดิมที่พอจะรู้ว่ากฎกติกาเป็นอย่างไร เพราะมีการปรึกษาหารือถกแถลงกันในประชาคมโลก มาเป็นโลกใหม่ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ไม่ขอความเห็นจากผู้นำคนอื่นในโลก เดินหน้าทำทุกอย่างตามความเชื่อ ที่จะทำให้อเมริกาได้ประโยชน์มากที่สุดหรือ America First

คำขวัญที่จะ Make America Great Again หรือ “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ทำให้คนทั้งโลกต้องพยายามจะตีความว่าหากอเมริกายิ่งใหญ่ ประเทศอื่นจะต้องกลายเป็นเบี้ยล่าง หรือจะต้องยอมทำตามในสิ่งที่ทรัมป์เรียกร้อง บังคับขู่เข็ญ ต่อรองหรือกดดันกระนั้นหรือ?

วิธีคิดและวิถีปฏิบัติของทรัมป์ผิดแผกไปจากขนบ และมาตรฐานอันควรของโลกทั้งสิ้น

อยู่ดี ๆ ก็ประกาศจะสร้างกำแพงตรงชายแดนกับเม็กซิโก บังคับให้เพื่อนบ้านควักกระเป๋าจ่ายค่าก่อสร้างทั้ง ๆ ที่เม็กซิโกบอกว่าคัดค้านแผนนี้ และจะไม่มีวันออกเงินตามคำประกาศของทรัมป์

แต่ทรัมป์ไม่ฟังเสียง เดินหน้าสร้างกำแพงด้วยการใช้เงินภาษีประชาชนของอเมริกาก่อน แล้วไป “คิดบัญชี” กับเม็กซิโกทีหลัง

เดิมนัดหมายกับประธานาธิบดีเม็กซิโก Enrique Pena Nieto ให้มาเยือนเพื่อพูดจาในฐานะเพื่อนบ้าน แต่พอเขาออกมายืนยันว่าจะไม่ออกเงินค่าก่อสร้างกำแพง ทรัมป์ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเจอกัน แผนการพบปะก็เป็นอันล้มเลิกไป

ไม่แต่เท่านั้น ทรัมป์ยังซ้ำเติมด้วยการออกข่าว ว่าจะเก็บภาษีสินค้าจากเม็กซิโกเข้าสหรัฐฯ 20% เพื่อเอารายได้ไปจ่ายค่าสร้างกำแพง

โดยไม่ตระหนักว่าหากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการให้ผู้บริโภคอเมริกันเองนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้ควักกระเป๋าออกเงินสร้างกำแพงแห่งนี้

เพราะหากมีภาษีขาเข้า 20% สินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด ก็จะถูกปรับราคาขึ้นตามสัดส่วนนั้นอยู่แล้ว

ทรัมป์ทำอะไรเพียงเพื่อที่จะเอาชนะ หรือเดินตามนโยบายเอาใจคนอเมริกัน ที่ลงคะแนนให้เขาโดยไม่ใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียก่อน จนกลายเป็นผู้นำที่กำลังจะก่อความเสียหายให้กับประชาคมโลกอย่างน่ากลัว

อีกเรื่องคือการลงนามในคำสั่งระงับการเข้าเมือง ของประชาชนจากตะวันออกกลางและแอฟริกาอย่างน้อย 7 ประเทศ รวมถึงอิรัก อิหร่าน ซีเรีย ลิเบีย เยเมน โซมาเลีย และซูดาน 30 วันเพื่อที่จะ “จัดระเบียบ” เรื่องมาตรการความมั่นคงเสียใหม่แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยให้คนจากประเทศเหล่านั้นเข้ามา

เท่ากับเป็นการใช้อำนาจของตนกระทำต่อประเทศอื่น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบหรือความรู้สึกของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่จะสร้างความโกลาหลให้กับชาวโลกก็คือ ท่าทีของทรัมป์ต่อจีนที่มีความก้าวร้าว ผิดลักษณะการใช้วิถีทางการทูตและการเจรจา เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้อย่างสันติและมีความขัดแย้งน้อยที่สุด

แต่ทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศ Rex Tillerson รวมไปถึงโฆษกทำเนียบขาว ออกมาใช้วาทะดุเดือดกระแทกจีน ในเรื่องทะเลจีนใต้จนเกิดความตึงเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ไม่นับกรณีที่ทรัมป์ประกาศว่าตนไม่จำเป็นต้องยึดหลัก “จีนเดียว” ที่ปักกิ่งกับวอชิงตันเคยทำข้อตกลงกันอย่างเอิกเกริก ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันมาตลอดเวลาจนถึงวันนี้ไม่น้อยกว่า 45 ปีแล้ว

นี่เป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่ทรัมป์สร้างบรรยากาศ “เขย่าขวัญ” ชาวโลกถึงขั้นที่มีผู้คนหวาดผวาว่าหากเขายังดึงดันที่จะเล่นเกม “ข้าฯใหญ่คนเดียว” อย่างนี้  โอกาสจะเปิดสงครามก็อาจไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป