ทรัมป์กับ 'ทฤษฎีคน (แกล้ง) บ้า' (The Madman Theory)

ทรัมป์กับ 'ทฤษฎีคน (แกล้ง) บ้า' (The Madman Theory)

ประเมินจากเหตุการณ์ช่วงท้าย ๆ ของปี 2016 ก็พอจะประเมินได้ว่าปี 2017 นี้

 จะต้องเผชิญกับการก่อการร้ายในระดับสากล ที่จะมีความถี่มากขึ้น ขยายวงกว้างขึ้น รุนแรงมากขึ้น และใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความปั่นป่วน ต่อวิถีชิวิตประจำวันของคนทั้งโลกมากขึ้น

ที่น่ากลัวกว่าการก่อการร้ายสากลคือ Madman Theory “ทฤษฎีคนบ้า ที่นักวิเคราะห์ในสหรัฐบอกว่าอาจจะเป็น “ยุทธศาสตร์หลัก” ของว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐที่ชื่อโดนัล ทรัมป์

ทฤษฎีที่ว่านี้มาจากอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันที่เคยบอกกับที่ปรึกษาใกล้ชิดชื่อ H.R. Haldeman ในบันทึกความทรงจำตอนหนึ่งว่า

“เรากำลังเดินบนชายหาดที่มีหมอกหนา หลังจากการเตรียมคำปราศรัยยาวนานทั้งวัน เขา (นิกสัน) บอกว่า “บ๊อบ ผมเรียกมันว่า Madman Theory นั่นคือผมต้องการให้พวกเวียดนามเหนือเชื่อว่า ผมมาถึงจุดที่จะตัดสินใจทำอะไรก็ได้เพื่อยุติสงคราม เราปล่อยข่าวหลุดไปถึงพวกเขาซิว่า...เฮ้ย นิกสันมีความหมกมุ่นต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์มากนะ ถ้าเขาโกรธขึ้นมา พวกเรายับยั้งเขาไม่ได้นะ และนิ้วเขาก็พร้อมจะกดปุ่มนิวเคลียร์นะ (โว้ย)...ถ้าพวกเวียดนามเหนือรู้อย่างนั้น โฮจิมินห์เองก็จะรีบรุดมาที่ปารีส อ้อนวอนขอร้องให้มีสันติภาพแน่นอน...”

ต่อมาในเดือนตุลาคมปี 1969 นิกสันไม่ใช่เพียงแค่ ลองปล่อยข่าวออกไปแหย่พวกนั้นดู....” เท่านั้น แต่เขาสั่งการให้ยกระดับความพร้อมทำสงคราม จนเหมือนพร้อมจะทำสงครามนิวเคลียร์ทีเดียว อาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้นำโซเวียต ที่สนับสนุนเวียดนามเหนือขณะนั้นได้ตระหนักว่านิกสันอาจจะ “บ้าพอ” ที่จะทำอะไรบ้า ๆ ได้

รัฐมนตรีกลาโหมของนิกสันขณะนั้นคือเมลวิน แลร์ด เขาบอกว่า “ที่นิกสันทำอย่างนั้นก็เพื่อให้รัสเซียคิดว่า คุณไม่อาจจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่านิกสันจะทำอะไรบ้าง”

ยุทธศาสตร์ ทฤษฎีคนบ้า ของนิกสันได้ผลในประวัติศาสตร์แค่ไหนหรือไม่ ยังไม่มีใครประเมินได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่เริ่มมีคนเชื่อว่าโดนัล ทรัมป์กำลังจะใช้กลยุทธเดียวกันนี้กับ คู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจหรือความมั่นคง...ในประเทศหรือต่างประเทศ

ถ้าเป็นจริงอย่างนี้ สถานการณ์โลกในปี 2017 ที่กำลังจะมาถึงคงจะน่ากลัวพิลึก เพราะทรัมป์กำลังจะเล่นบท ช่างมันฉันไม่แคร์ ตราบเท่าที่เขาสามารถ “ข่มขู่ กดดัน คนอื่นให้ยอมตามเงื่อนไขของเขาเพื่อบรรลุเป้าหมาย America First (อเมริกาต้องมาก่อน)

ความจริง ทรัมป์ได้ประกาศช่วงหาเสียงด้วยซ้ำไปว่า “จุดแข็ง” ของเขาอย่างหนึ่งคือ “unpredictability” แปลว่าไม่มีใครคาดได้ถูกว่าเขาจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร เพื่อให้คู่ต่อสู้งุนงงและสับสน เขาจะได้เดินเกมที่อีกฝ่ายหนึ่งคาดไม่ถึงเพื่อให้ได้ชัยชนะในที่สุด

แต่เกมการเมืองระหว่างประเทศไม่ใช่การต่อรองซื้อขายตึกหรือคอนโดฯ หรือสนามกอล์ฟ ดังนั้นหากทรัมป์เล่นบท “คนบ้า ที่ไร้เหตุผล มีอารมณ์แปรปรวน เช้าเป็นอย่างหนึ่งเย็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คงจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย

หากทรัมป์ต้องการจะเป็นทั้งมหาอำนาจและ “คนบ้า” คงจะเข้าเกณฑ์ขาดวุฒิภาวะและความน่าเชื่อถือ

เพราะยุทธศาสตร์ The Madman Theory ที่ว่านี้ไม่ใช่เพียงแต่จะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามสับสนงุนงงเท่านั้น แต่ยังจะทำให้พันธมิตรว้าวุ่นและวางตัวไม่ถูก

ที่คนกลัวว่าอารมณ์แปรปรวนของทรัมป์ อาจนำไปสู่สงครามโลกรอบใหม่ ก็มาจากความเชื่อเรื่อง The Madman Theory นี่แหละ