ผักตบชวาเต็มแม่น้ำ...เพราะใคร

ผักตบชวาเต็มแม่น้ำ...เพราะใคร

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวทั้งทางหน้าสื่อสังคมและสื่อสิ่งพิมพ์ฉายภาพให้เห็นภาวะการณ์

ผักตบชวาอัดตัวกันแน่นในแม่น้ำหลักสายหนึ่งของประเทศ เดือดร้อนถึงคนระดับนายกรัฐมนตรีต้องลงมาสั่งการให้ทหารและหน่วยงานท้องถิ่นเร่งกำจัดออกไปให้พ้นจากการกีดขวางการสัญจรในลำน้ำ จากนั้นก็มีคนออกมาให้ความเห็นและความรู้แก่สังคมในการเอาผักตบชวาไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมไปจนถึงการนำไปปรุงเป็นอาหารให้คนและสัตว์กิน แต่ไม่มีใครเลยที่จะมองไปถึงต้นทางหรือสาเหตุของปัญหานั้นว่ามาจากที่ใดและมาได้อย่างไร

ผักตบโตเพราะปุ๋ยไนโตรเจน

ผักตบชวาเป็นพืชที่อาศัยอยู่ในน้ำ ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าพืชแล้วย่อมเจริญเติบโตดีในสภาพที่มีธาตุอาหารหรือปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ และปุ๋ยที่พืชประเภทใบแบบผักตบชวาชอบมากคือปุ๋ยไนโตรเจน ซึ่งหากมีการระบายไนโตรเจนลงในแหล่งน้ำ ไนโตรเจนที่ระบายลงไปนั้นก็คือปุ๋ยเร่งใบให้แก่พืชในน้ำนั่นเอง แล้วปุ๋ยไนโตรเจนนี้มาจากไหน คำตอบคือมาได้จากหลายแหล่งกำเนิด ทั้งจาก (1) ปุ๋ยยูเรีย ที่เกษตรกรหว่านลงนาลงสวนแล้วถูกปล่อยระบายลงแหล่งน้ำ (2) จากมูลสัตว์ ซากพืชในการเกษตรกรรม (3) จากอาคารบ้านเรือนที่พักอาศัย และ (4) จากโรงงานอุตสาหกรรม

ไนโตรเจนจากสองแหล่งแรกเป็นแบบที่หาต้นตอแหล่งกำเนิดไม่ได้หรือได้ลำบาก เพราะการปล่อยระบายนั้นกระจายอยู่ไปทั่วและมีการปล่อยตลอดลำน้ำ จึงทำให้การควบคุมรวมทั้งกำกับดูแลทำได้ยาก จึงจะยังขอไม่เอ่ยถึงในคราวนี้ แต่จะขอเอ่ยถึงเฉพาะส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 สำหรับส่วนที่ 3 นั้นมาได้จากทั้งน้ำเสียจากส้วม จากครัว และจากการซักล้างลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะโดยตรง และส่วนที่เป็นน้ำทิ้งชุมชนที่ผ่านการบำบัดมาก่อนแล้ว สำหรับในกรณีหลังนี้ภาครัฐได้กำหนดให้มาตรฐานสำหรับปริมาณไนโตรเจน (ในรูปของ TKN) มีค่าไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลิตร (อ้างอิงมาตรฐานน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน พ.ศ.2553; TKN คือรูปหนึ่งของไนโตรเจน)

น้ำทิ้งจากโรงงาน

ในส่วนที่ 4 ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวกับมาตรฐานน้ำทิ้งจากโรงงานนั้น ปรากฏว่าขณะนี้ภาครัฐกำลังดำเนินการที่จะประกาศบังคับค่า TKN ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งมากกว่ามาตรฐานน้ำทิ้งชุมชนถึง 4 เท่า ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมที่ได้มีโอกาสร่วมร่างกฎเกณฑ์นี้ด้วย ได้อธิบายว่าโรงงานบางประเภทมิอาจทำให้ต่ำกว่าค่า 100 นั้นได้ และหากต้องการทำให้ได้ต่ำเท่ามาตรฐานน้ำทิ้งชุมชน (หรือ TKN 20 มิลลิกรัมต่อลิตร) ก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายมากจนอุตสาหกรรมประเภทนั้นดำรงอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้หากมองในมุมการรักษาสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายที่ว่าสูงนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นและต้องนับรวมเป็นส่วนของการลงทุน มิใช่เป็นค่าใช้จ่ายอย่างที่หลายผู้ประกอบการคิดว่าเป็น

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมมีหลายประเภทด้วยกัน ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาใดๆเลยในการบำบัดน้ำเสียของตนและลดค่า TKN ให้เหลือต่ำกว่า 20 มิลลิกรัมต่อลิตรตามมาตรฐานน้ำทิ้งชุมชน ดังนั้นการที่รัฐไปกำหนดให้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจากอุตสาหกรรมสูงกว่าของชุมชนถึง 4 เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่า ไม่เป็นการยุติธรรมต่อภาคประชาชนและไม่เป็นธรรมต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง เพราะสามารถไปก่อให้เกิดสภาวะการณ์ผักตบเต็มแม่น้ำอย่างที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้น

ทั้งนี้ หากมีอุตสาหกรรมบางประเภทที่ไม่สามารถลด TKN ให้ได้ต่ำกว่า 20 มิลลิกรัมต่อลิตรได้จริง เราก็ยังสามารถมีทางออกต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดมาตรฐานอะลุ้มอล่วยให้โรงงานบางประเภทนี้เป็นการเฉพาะ และไม่จำเป็นต้องออกประกาศให้อะลุ้มอล่วยต่อภาคอุตสาหกรรมทุกประเภทหรือทั้งกระดาน (across the board) ดังที่กำลังทำกันอยู่นี้

ค่าบีโอดี

มีค่าสารมลพิษอีกตัวหนึ่งที่ใช้พิจารณาในการอนุรักษ์ลำน้ำหรือใช้วัดความเน่าของลำน้ำได้โดยตรง ค่านี้มีชื่อเรียกว่า BOD (อันย่อมาจาก Biochemical Oxygen Demand ที่หมายถึงปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ต่างๆ ที่ทำให้น้ำเน่าได้) ถ้าค่า BOD ในน้ำสูงนั่นหมายถึงน้ำนั้นมีความต้องการออกซิเจนมาก ในขณะที่ค่าออกซิเจนที่ละลายอยู่ในลำน้ำมีจำกัดที่ค่าหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมี BOD หรือความต้องการออกซิเจนมากเกินไป ออกซิเจนในลำน้ำก็จะถูกใช้ไปจนหมด เกิดสภาพที่ออกซิเจนในลำน้ำเป็นศูนย์และเกิดสภาวะน้ำเน่าเหม็นขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหานี้ภาครัฐจึงกำหนดให้ค่า BOD ในน้ำทิ้งจากชุมชนมีค่าไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งนี้ในทางระบบนิเวศค่า TKN หรือไนโตรเจน(N)

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นไนเตรต(NO3-)ได้ โดยกระบวนการที่เรียกว่าออกซิเดชัน (oxidation)โดยแบคทีเรียในลำน้ำ ซึ่งในขั้นตอนนี้แบคทีเรียจะต้องใช้ออกซิเจนจากลำน้ำไปถึงประมาณ 3.4 เท่าของค่าไนโตรเจน ดังนั้นหากรัฐกำหนดค่า TKN ของน้ำทิ้งอุตสาหกรรมเป็น 100 มิลลิกรัมต่อลิตร นั่นหมายความว่าจะมีความต้องการออกซิเจนสูงถึง 100×3.4 = 340 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเทียบเท่า (อย่างง่ายๆ)เป็นค่า BOD สูงถึง 340 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งค่านี้จะสูงกว่าค่า BOD ในมาตรฐานน้ำทิ้งชุมชนถึง 17 เท่า ค่า TKN 100มิลลิกรัมต่อลิตรสำหรับอุตสาหกรรมนี้จึงสูงมากเกินไปกว่าที่จะยอมรับได้ในทางนิเวศ

สารแขวนลอยในน้ำ

นอกจากนี้ประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมฉบับนี้ยังมีอีกค่าที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อภาคชุมชน คือ ค่า TSS (ที่ย่อมาจาก Total Suspended Solids หรือ“ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด”) เพราะภาครัฐได้กำหนดค่ามาตรฐาน TSS ในน้ำทิ้งชุมชนไว้เท่ากับ 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่ประกาศใหม่ของภาคอุตสาหกรรมกำหนดให้สามารถปล่อยได้สูงถึง 50 มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งที่ค่า 30 มิลลิกรัมต่อลิตรนี้เป็นสิ่งที่ระบบบำบัดน้ำเสียธรรมดาๆสามารถทำได้เป็นปกติ และทั่วโลกก็ใช้ค่านี้เป็นค่ามาตรฐานกันอยู่ทั่วไป การกำหนดค่า TSS เป็น 50 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้เป็นพิเศษสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งสูงกว่าของน้ำทิ้งชุมชนถึงร้อยละ 67 จึงเป็นที่ครหาได้ว่า ภาครัฐของเรากำลังละเว้นและไม่ทำหน้าที่ดูแลสิ่งแวดล้อมของเราให้ดีพอ

แล้วเหตุการณ์ที่ไม่พึงเกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เริ่มต้นต้องมีคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อมาร่างประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมนี้ จากนั้นเมื่อคณะทำงานฯได้ร่างประกาศเสร็จก็ต้องส่งให้คณะกรรมการควบคุมมลพิษ(กคพ.)ตรวจสอบและให้ความเห็นชอบ ซึ่งเมื่อ กคพ. เห็นชอบแล้วต้องนำเสนอกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.)เพื่อตรวจสอบและให้ความเห็นชอบอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะมอบหมายให้ กคพ. นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อลงนามในประกาศกระทรวงก่อนที่จะนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป

ณ เวลานี้ เรื่องนี้ได้ล่วงเลยมาถึงขั้นตอนประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2559 และจะมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2560 จึงเป็นที่น่าสงสัยและเป็นที่สังเกตว่าการณ์นี้ได้ผ่านขั้นตอนตามระเบียบถึง 4 ขั้นตอน แต่มิได้มีการทักท้วงระหว่างทาง เพื่อระงับหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ แต่ไม่ได้ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมฉบับนี้เลย (หมายเหตุ: ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ ได้ทักท้วงถึงข้อบกพร่องนี้แล้วหลายครั้งในขั้นตอนคณะทำงานฯ) นี่ย่อมแสดงว่า กระบวนการที่ออกแบบไว้ให้มีความรอบคอบรัดกุมถึง 4 ขั้นตอนนี้ ไม่ได้รอบคอบหรือรัดกุมดังคาด และสมควรมีการปรับปรุงแก้ไขเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งควรกลับไปพิจารณาแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ให้เหมาะสมและสมบูรณ์เพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของเราทุกคนด้วย

สิ่งที่ต้องทำต่อไป

ในการทำงาน ย่อมเป็นเรื่องปกติที่มีความบกพร่องผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอ แต่เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้วก็สมควรหาทางแก้ไข จึงอยากวิงวอนขอร้องให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรมใหม่นี้ตระหนักถึงผลเสียต่อระบบนิเวศน้ำของไทยโดยรวม และแทนที่จะปล่อยไปเลยตามเลย ก็ควรต้องเร่งทำเรื่องเสนอกรรมการชุดใหญ่เพื่อนำกลับไปพิจารณาแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความเป็นธรรมต่อภาคชุมชน และต่อสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่รักของเรา ก่อนที่จะสายเกินแก้และเกิดการร้องเรียนว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเราไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้นต่อข้าราชการน้ำดีของสังคมไทยเหล่านั้นเลย และเราขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานหนักนี้ทุกท่านในการที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้องต่อไป

------------------


อรอนงค์ ลาภปริสุทธิ

ธงชัย พรรณสวัสดิ์

ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย