การส่งออกไทยเมื่อทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

ในวันที่ 8 พ.ย.2559 นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้ง
เหนือตัวเต็งอย่างฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ ต่อจากนายบารัค โอบามา ผลการเลือกตั้งอาจจะถูกใจบ้าง ประหลาดใจบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ใจความสำคัญของประชาธิปไตยก็คือ การยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งได้จากคนส่วนใหญ่ (Majority vote) นั่นเอง
เราจะมาลองดูว่าจากนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ (International trade policies) ที่ทรัมป์ได้เคยหาเสียงเอาไว้ จะส่งผลกระทบอะไรต่อเศรษฐกิจไทยกันบ้าง
ที่ชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) หรือ ทีพีพี ซึ่งเป็นความตกลงทางการค้าเสรีกรอบพหุภาคี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดตลาดการค้าในสินค้า บริการ การลงทุน และการทำให้กฎระเบียบที่มีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมาตรฐานเดียวกัน (Standardization) เช่น นโยบายการแข่งขันของตลาด และทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น TPP พัฒนามาจาก P4 (The Pacific 4) โดยในปัจจุบัน ประกอบด้วยประเทศสมาชิก (ที่สนใจ) ทั้งสิ้น 12 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐ แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น ชิลี เปรู ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน สังเกตว่ามีหลายประเทศในอาเซียนรวมอยู่ด้วย ประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อเดือนต.ค.2558 นั้น ประเทศสมาชิกได้บรรลุข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกลายเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มี GDP รวมกันกว่า 40% ของผลผลิตรวมทั้งหมดของโลก ความคืบหน้าของ TPP คือ แต่ละประเทศจะต้องลงนามและรับรองข้อตกลงเสียก่อนที่ข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งต้องยอมรับว่าอนาคตของ TPP แทบจะมืดบอด
เพราะทรัมป์แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยแต่แรก ซึ่งนั่นหมายความว่า ความตั้งใจที่อีกกว่า 11 ประเทศที่กำลังกลับไปแก้ไขกฎหมายภายในประเทศของตัวเองเพื่อให้สอดรับกับ TPP ที่ได้ลงนามไปเมื่อต้นปี กำลังสูญหาย สำหรับไทยเอง กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ก็ได้ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของการเข้าร่วม TPP เมื่อปี2555 และจ้างสถาบันปัญญาภิวัฒน์ศึกษาในปี2558 (ยังไม่แล้วเสร็จ) ฉะนั้น ต่อจากนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาแล้ว เพราะไม่เกิดขึ้นแล้ว หัวข้อที่น่าสนใจคือ จะทำอย่างไรให้สินค้าไทยส่งออกไปยังสหรัฐได้เหมือนเดิม ส่วนแบ่งตลาดไม่ลดลง
เมื่อไม่มี TPP อีกต่อไป เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอาเซียนในตลาดสหรัฐได้หรือไม่ (เพราะสินค้าเหล่านั้นจะเข้าสหรัฐในราคาที่ถูกกว่า เพราะปลอดกำแพงภาษีและอุปสรรคทางการค้าอื่นๆ) แต่ชวนคิดก็คือ หากเราไม่ได้เปรียบในการผลิต ต้องรู้สาเหตุให้แน่ชัด หากเป็นเพราะต้นทุนสูงกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องหันไปผลิตอย่างอื่นแทน อีกหนึ่งเรื่องที่เราไม่ต้องกังวลก็คือ การสูญเสียดุลการค้าหาก TPP เกิดขึ้นแล้วเราไม่ได้เข้าร่วม ความสูญเสียนี้เกิดจากการที่ประเทศอื่นได้ประตูบานใหญ่กว่าเรา เข้าไปในตลาดที่เป็นคู่ค้าหลักของเรา ส่วนแบ่งตลาด (Market share) ของเราในตลาดประเทศสมาชิก TPP จะลดลง นอกจากนั้น วงการสาธารณสุขบ้านเราก็คงคลายกังวล ก่อนหน้านี้เรากังวลเรื่องยาจะแพงขึ้น รัฐบาลจะมีภาระมากขึ้นหากเข้า TPP เพราะเรื่องสิทธิบัตร แต่ขอฝากให้ชวนคิดว่า ความยั่งยืนในวงการสาธารณสุขจะมีได้อย่างไรหากกลัวการวิจัย คิดใหม่ ทำใหม่ ดังนั้น ในขั้นนี้ คนที่ต้าน TPP เลยสบายใจไปหนึ่งเปลาะว่าอย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ใน Comfort Zone ได้ต่อไปอีกสัก 2 - 3 ปี
นอกเหนือจาก TPP แล้ว ทรัมป์เองมีนโยบายที่จะทบทวนข้อตกลงทางการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก ที่รู้จักกันดีในชื่อของ NAFTA (North American Free Trade Agreement) ที่ทำไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 โดยถึงกับบอกว่า NAFTA เป็น “Worst Trade Deal Ever” หรือข้อตกลงทางการค้าที่แย่ที่สุดที่เคยมีมา ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งแล้วยกเลิก NAFTA ผู้ผลิตสัญชาติเม็กซิกันที่นำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากสหรัฐอเมริกาจะต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจของเม็กซิโกที่พึ่งพาสหรัฐค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม มีหลายบริษัทของเม็กซิโกเช่นกันที่ไปเปิดในสหรัฐและจ้างคนงานสัญชาติอเมริกัน เช่น บริษัท Softtek เป็นต้น ในแง่ดุลการค้า พบว่ากว่า 80% ของการส่งออกของเม็กซิโกส่งมาที่สหรัฐ (ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมด 3.80 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่กว่า 50% ของการนำเข้าของเม็กซิโกเป็นสินค้าจากสหรัฐอเมริกา (ประมาณ 1.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมด 3.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ดังนั้น เม็กซิโกจึงพึ่งพิงสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก ซึ่งภาพดังกล่าวไม่ต่างจากแคนาดาเช่นกัน
ดังนั้น หากทรัมป์จะ “ปิด” เศรษฐกิจ (Less open) ของตนเองจากข้อตกลง NAFTA ผลกระทบน่าจะเกิดกับเม็กซิโกและแคนาดามากกว่า ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบต่อการส่งออก การนำเข้าของสหรัฐต้องอย่าลืมความจริงบางประการที่ว่า 1) เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาขึ้นอยู่กับการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Consumption) ไม่ใช่ภาคต่างประเทศ (External sector) หรือการส่งออก การนำเข้า
2) อย่าลืมความจริงอีกประการที่ว่า การตั้งกำแพงภาษีจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งทดแทนรายได้ที่คาดว่าจะเสียไปจากการลดภาษีชนชั้นกลาง ทั้งนี้ อย่าลืมว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปัจจุบันเกิดขึ้นเพื่อชดเชยรายได้จาก ภาษีนำเข้าที่เก็บไม่ได้ เหตุเพราะโลกทำการค้ากันมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 100 - 150 ปีที่ผ่านมา
ในทางกลับกัน เศรษฐกิจของไทยพึ่งพาการส่งออกกว่า 75% ของ GDP ทั้งประเทศ สหรัฐเป็นคู่ค้าหลักของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะสินค้าประเภทฮาร์ดแวร์ ยาง อัญมณี ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงข้าว ดังนั้น หากเศรษฐกิจอเมริกาเติบโตได้ดี ไทยก็อยู่ได้
สำหรับคำตอบว่า ไทยจะส่งออกดีขึ้นหรือแย่ลง ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบ ใครที่ออกมาฟันธง ก็ขอให้ทราบเอาไว้ว่ามั่วแน่นอน เพราะแม้ทรัมป์จะออกนโยบาย แต่นั่นเป็นนโยบายเพื่อดึงคะแนน เวลาที่ทำนโยบายจริงๆ ทรัมป์เองจะพบว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการผ่านสภาล่าง สภาสูง หลายครั้ง ให้ดูกรณี TPP ของโอบามาที่พยายามมาหลายปีแต่ก็ยังไม่สามารถผ่านการรับรองได้เสียที
หากจะให้ชี้แนวทาง ขอมองเป็น 2 สถานการณ์ กรณีแรกคือ การส่งออกไทยจะดีขึ้น เหตุที่คิดว่าจะดีขึ้นก็เพราะสหรัฐอาจจะหันมานำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้นแทนที่จะเป็นจีน สหรัฐนำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุด (ประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์จาก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) รองลงมาเป็นเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งไทยคงไม่ไปแข่งในสินค้าจากทั้งสองประเทศนั้น ทั้งนี้ ไทยเป็นคู่ค้าด้านการนำเข้าของสหรัฐในลำดับที่ 16 สำหรับอาเซียนด้วยกัน ก็จะรองจากเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งทั้งคู่อยู่ในกรอบ TPP ฉะนั้น หากทรัมป์ต้องการลดการพึ่งพาจากจีน และไม่สนใจ TPP โอกาสที่ไทยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดก็มีมากขึ้น
แต่ถึงแม้ทรัมป์จะไม่ชอบจีน แต่ทรัมป์ก็ไม่สามารถเลือกที่รัก มักที่ชัง หรือเลือกขึ้นภาษีเฉพาะจีนได้เพียงอย่างเดียว เพราะจะผิดจากหลักขององค์การการค้าโลก หรือ WTO ว่าภาษีนำเข้าต้องไม่เลือกปฏิบัติ กล่าวคือ จะต้องเก็บภาษีในอัตราเดียวกันหมดไม่ว่าจะมาจากชาติใด หากเก็บภาษีข้าว 5% ก็ต้องเก็บ 5% ด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะจากจีนหรือจากไทย เว้นกรณีมี FTA หรือข้อตกลงการค้าพิเศษ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าทรัมป์คิดจะขึ้น ก็ขึ้นได้เลย แต่ขึ้นชื่อว่าทรัมป์ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ทรัมป์จะไล่เซ็น FTA กับประเทศคู่ค้าหลัก 20 รายแรก เว้นจีนเอาไว้ ทั้งนี้ สาเหตุที่คิดว่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐออาจจะแย่ลง ก็เพราะที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าทรัมป์พูดถึงเอเชียค่อนข้างน้อย พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นทวีปนอกสายตา ทรัมป์อาจเหมารวมและมองแต่ละชาติในเอเชียเป็นชาติเดียว ระงับการเจรจาการค้ากับภูมิภาคนี้ หรืออาจกำหนดลักษณะสินค้าแปลกๆ หรือให้มีคุณภาพสูงๆ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-tariff barriers) ซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นการจำกัดจำนวนการค้าระหว่างกัน
ในแง่ของผลกระทบต่อตลาดหุ้น นอกจากความผันผวนที่เกิดจากนักลงทุนแล้ว ขอมองมุมอื่นๆ บ้าง โดยแยกเป็น 2 สถานการณ์ หากนักลงทุนชาวอเมริกันมีความกังวลต่อการที่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และแห่มีความกังวลเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อจากนี้ นักลงทุนอาจย้ายเม็ดเงินมายังภูมิภาคเอเชียที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นและสถานการณ์ในภาพรวมสงบกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เงินดอลลาร์ก็จะไหลเข้ามายังภูมิภาคจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นไปโดยปริยาย มีผลทางอ้อมทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นในสายตาของผู้บริโภคต่างชาติ และท้ายที่สุด ทำให้การส่งออกของไทยอาจได้รับผลกระทบทางลบไปด้วย
โดยสรุป เรา ในฐานะพลเมืองโลก ต้องติดตามเกมการเมืองของสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพราะสหรัฐอเมริกาคือประเทศมหาอำนาจ แต่เพราะเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะพึ่งพาอาศัยกันมากกว่าสมัยก่อน ไม่เพียงตลาดสินค้าและบริการ หากรวมถึงตลาดเงินที่มีพลวัฒน์สูงอีกด้วย
........................
อาจารย์วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง







