As Above, So Below

โหราศาสตร์เป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย ทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยศึกษาโหราศาสตร์

อย่างจริงจังมักเป็นเช่นนี้ คำถามสำคัญที่สุดของพวกเขาคือ ดวงดาวบนท้องฟ้าเกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์ ?

ในมุมวิทยาศาสตร์ นี่คือ สมมติฐานเพียงข้อเดียวของโหราศาสตร์ ถ้าสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์นี้ได้ โหราศาสตร์ก็ไม่ใช่ศาสตร์แห่งความเหลวไหลงมงายอีกต่อไป  ประเด็นไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ แต่การพิสูจน์ต้องจำกัดอยู่แค่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ ? หรือมีแนวทางอื่น ๆ อีก ?

แม้โลกปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง เราไม่สามารถบอกได้ว่า ความจริง (Reality) เป็นแค่วัตถุรูปธรรมที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้หรือวัดเป็นตัวเลขได้เท่านั้น ความสุข ความเศร้า ความรัก มิตรภาพ เสรีภาพ ความเชื่อ ศรัทธา ปรัชญา ศาสนา ฯลฯ สิ่งที่เป็น “นามธรรม” ก็คือความจริงที่มนุษย์รับรู้กันอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แม้มันไม่อาจวัดได้ในทางวิทยาศาสตร์

กระนั้นก็ตาม วิทยาศาสตร์ก็บอกเองว่า ดวงดาวมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์เรื่องราวบนโลก ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น น้ำขึ้นน้ำลง กลางวันกลางคืน ฤดูกาล สุริยคราส จันทรคราส ฯลฯล้วนเป็นเครื่องยืนยันมนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตบนโลก ย่อมได้รับผลกระทบทางอ้อมด้วย เช่น กลางวันกลางคืนเป็นตัวกำหนดเวลาทำงานหรือพักผ่อน ฤดูกาลเป็นตัวกำหนดการเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยว น้ำขึ้นน้ำลงส่งผลต่อการสัญจรทางน้ำและอาชีพของชาวประมง ฯลฯ

ไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์ คาร์ล จุง นักจิตวิเคราะห์ผู้โด่งดังและศิษย์เอกของซิกมัน ฟรอยด์ ก็เชื่อในความสัมพันธ์นี้ จุงไม่เพียงศึกษาจิตวิทยาสมัยใหม่ แต่ยังศึกษาศาสตร์ตะวันออกด้วย เช่น อี้จิงของจีน ภควัทคีตาของอินเดีย โหราศาสตร์สากลและอินเดีย ฯลฯ จุงสรุปว่าดวงดาวกับมนุษย์สอดคล้องสัมพันธ์กัน โดยใช้คำว่า Synchronicity  แนวคิดของจุงกลายเป็นพลังผลักดันสำคัญให้เกิด โหราศาสตร์จิตวิทยาซึ่งไปเติบโตรุ่งเรืองในอเมริกาตั้งแต่กลางศตวรรษที่20

นี่คือมุมที่คนปัจจุบันมองย้อนไปในอดีต แต่หลักคิดจากอดีตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

นับแต่โบราณกาล มนุษย์มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเคารพ ด้วยตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของฟ้าและสำนึกถึงความต้อยต่ำของตน อารยธรรมเมโสโปเตเมียยุคต้นเชื่อว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของเทพเจ้า หน้าที่หลักของมนุษย์คือปฏิบัติตามคำสั่งเทพเจ้า ดวงดาวทั้งหลายที่ปรากฏบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน คืออาณัติสวรรค์ที่แสดงถึงคำสั่งของเหล่าทวยเทพ

ในอารยธรรมอียิปต์ ชีวิตบนโลกเป็นแค่ที่พำนักชั่วคราว เปรียบเสมือนก้าวหนึ่งสู่ความเป็นนิรันดร์ (Eternity) จิตวิญญาณมาจากดวงดาวและจะกลับสู่ดวงดาวเช่นกันในจักรวาลนั้นมีจิตวิญญาณแทรกซึมไปทั่ว (The Anima Mundi) มันคือความเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นพื้นฐานของความหลากหลายในโลกทุกสิ่งเกิดขึ้นและสัมพันธ์กันด้วยพลังงานของจักรวาลที่เรียกว่า “เฮกาเช่นเดียวกับอิทธิพลดวงดาวที่มีต่อมนุษย์

อารยธรรมจีนมองว่า ฟ้ายิ่งใหญ่และมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างมาก ทุกคนควรปฏิบัติตนไปตามแนวทางของฟ้า ดังในตำราพิชัยสงคราม ขงเบ้ง ภาคปรัชญาการปกครอง บทที่ 1 กล่าวว่า รากฐานนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน ส่วนต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง สิ่งที่เป็นรากฐานของสรรพสิ่งคือฟ้าดิน ถ้าไม่มีฟ้าดิน สรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้นหรือดำรงอยู่ไม่ได้ในการปกครองประเทศ กษัตริย์จึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฟ้า

ขณะที่อารยธรรมกรีกกลับมองอีกมุมหนึ่ง จักรวาลมีกฎของตัวเอง กฎนี้คือกฎของธรรมชาติ ไม่ใช่เทพเจ้าบันดาล การเข้าใจกฎธรรมชาติ ต้องรู้ว่าอะไรคือปฐมธาตุเสียก่อน ปราชญ์จึงเริ่มต้นที่การอธิบายปฐมธาตุ เช่น ธาเลสเสนอว่า ปฐมธาตุของจักรวาลและทุกชีวิตคือน้ำเฮราคลีตุสถือว่า ไฟคือปฐมธาตุ อริสโตเติลถือว่า อีเธอร์คือธาตุที่ 5 ของจักรวาลและเป็นปฐมธาตุฯลฯ

ผู้ที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุดคือ คลาวดิอุส ปโตเลมีโหราจารย์ผู้นี้เชื่อว่า อีเธอร์คือปฐมธาตุของจักรวาล การเคลื่อนที่ของดวงดาวทำให้อีเธอร์กระเพื่อมและส่งผลต่อธาตุหลักทั้ง 4 คือดินน้ำลมไฟ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังทุกส่วนของจักรวาล ดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้ด้วยเหตุผลนี้

แต่คำอธิบายที่ลึกซึ้งที่สุดมาจากอารยธรรมอินเดีย คัมภีร์ “พระเวท” กล่าวว่า ดวงดาวคือตัวแทนของเทพเจ้าทั้งหลายที่สามารถดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้กับมนุษย์ พระเวทไม่เพียงกล่าวถึงอำนาจของดวงดาว แต่ยังเน้นย้ำถึงวันเวลาที่ถูกต้องในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วยอิทธิพลดวงดาวนั้นสูงมาก จนคัมภีร์ “อาถรรพณ์เวท” ต้องประกาศว่ากษัตริย์ผู้ปราศจากโหราจารย์ เปรียบเสมือนเด็กที่ไม่มีบิดา

ใน “อุปนิษัท (Upanishad)” หรือเวทานตะ (Vedanga)” ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของพระเวทและเป็นที่ประมวลความคิดทางปรัชญาทั้งหมด เสนอแนวคิดที่ว่า มนุษย์ไม่อาจแบ่งแยกตัวเองจากจักรวาลและเน้นย้ำปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างองค์ประกอบระดับจุลภาค (มนุษย์) กับมหภาค (จักรวาล)

แก่นความคิดของอุปนิษัทอยู่ที่ “อาตมัน (Atman)” หรือตัวตนของบุคคล กับ “พรหมัน (Brahman)” หรือตัวตนสูงสุดของจักรวาล ทั้ง 2 สิ่งนี้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันดังมหาวากย์ (คำพูดยิ่งใหญ่) ที่ว่า ตัต ตวัม อสิแปลตามพยัญชนะว่า ท่านคือสิ่งนั้นแปลตามอรรถะว่า อาตมันคือพรหมัน

โหราศาสตร์กำเนิดในยุคที่ไม่เจริญทางวัตถุ การดำรงชีวิตของผู้คนต้องพึ่งพาธรรมชาติ การรับรู้ (Perception) ของมนุษย์ยุคนั้น จึงไม่แบ่งแยกคนออกจากธรรมชาติ ทะเล ภูเขา ท้องฟ้า ดวงดาว สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ ล้วนเป็นระบบนิเวศน์เดียวกันกับมนุษย์ ทุกสิ่งมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต

อารยธรรมโบราณทั้งหลายแม้มีรายละเอียดที่แตกต่าง แต่แนวคิดหลักกลับใกล้เคียงกัน มันคือหลักปรัชญาที่ว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงสัมพันธ์และส่งผลกระทบถึงกัน โหราศาสตร์กำเนิดขึ้นมาจากปรัชญานี้

พัฒนาการของโหราศาสตร์ก้าวหน้าที่สุดในยุค Hellenistic (323 – 31 ปีก่อนค.ศ.) ปรัชญาของทุกอารยธรรมถูกหลอมรวมและขัดเกลา จนนำไปสู่การสรุปยอดความคิดที่ว่า “As Above, So Below”หรือ เบื้องบนเป็นอย่างไร เบื้องล่างก็เป็นอย่างนั้น

ดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณ บรรพบุรุษของเราสั่งสอนและถ่ายทอดกันมาเช่นนี้ มีเพียงคนที่ปฏิเสธรากเหง้าของตัวเองและดูถูกภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ จึงคิดว่าโหราศาสตร์เหลวไหลงมงาย !