ศาสตร์พระราชากับหญ้าปากคอก

ในพจนานุกรมไทย “หญ้าปากคอก” มีความหมายในทำนองว่า “ง่าย” แต่สำหรับผมซึ่งเติบโตในทุ่งนา
และคลุกคลีกับควายอยู่นาน ผมคาดเดาเอาว่าคนโบราณได้แฝงนัยที่สำคัญกว่านั้นไว้ นั่นคือ “สิ่งที่ถูกมองข้ามไปทั้งที่มีค่ามากและอยู่ใกล้ตัว” ผมคาดเดาเช่นนั้นเพราะหากใครได้คลุกคลีกับควายในทุ่งนาย่อมจะเห็นว่าตามหน้าหรือข้าง ๆ คอกควายหญ้าจะงามมากเนื่องจากเยี่ยวและขี้ควายในคอกเป็นปุ๋ยชั้นดี แต่เวลาเราจูง หรือไล่ควายออกจากคอก ควายจะไม่มีเวลาเล็มหญ้าตรงหน้าคอกนั้นทำให้ดูเหมือนว่ามันมองข้ามหญ้าที่มีคุณค่าสูง ผมจะใช้นัยนี้ในบทความ
ผมเคยเสนอว่าในการอ้างถึง “ศาสตร์พระราชา” ผู้อ้างแต่ละคนอาจมีความหมายอยู่ในใจที่ไม่ตรงกัน ทั้งนี้เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีผลงานชั้นเลิศในหลากหลายสาขาไม่ว่าจะเกี่ยวกับกังหันชัยพัฒนา หญ้าแฝก การทำฝนเทียม หรือเกษตรกรรมตามทฤษฎีใหม่ในบรรดาศาสตร์พระราชาทั้งหลายผมมองว่าสิ่งที่มีค่าสูงสุดได้แก่แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
อะไรทำให้ผมมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นศาสตร์พระราชาที่มีค่าสูงสุดในบรรดาศาสตร์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9?
คำตอบมาจากประสบการณ์ทางด้านการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่คลุกคลีอยู่กับการใช้แนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลักจนตระหนักว่าแนวคิดนั้นได้นำเราเข้าสู่ทางตันแล้วและเศรษฐกิจพอเพียงสามารถผ่าทางตันนั้นได้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เรียนแล้วว่าปัจจัยที่ทำให้เราเดินเข้าสู่ทางตันได้แก่การเดินสวนทางกันของการใช้ทรัพยากรที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งและปริมาณของมันที่กำลังลดลง เทคโนโลยีใหม่ยังไม่สามารถนำทรัพยากรมาจากนอกโลกได้และส่วนที่มันทำให้เราใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็มักแฝงคำสาปมาด้วย ฉะนั้น ทางออกของเราต้องมาจากการลด หรืองดใช้ทรัพยากรในส่วนที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่การลดหรืองดนั้นไม่จำเป็นต้องทำกันถึงขั้นสุดโต่ง อาทิเช่น งดรับประทานของหวานโดยเด็ดขาด เศรษฐกิจพอเพียงเสนอให้ยึดทางสายกลาง กล่าวคือ รับประทานอาหารจำพวกนั้นได้แต่ไม่ถึงกับทำให้เป็นอันตรายจากการเกิดโรคบางชนิดเพราะอ้วนเกิน หรือจากการขาดธาตุอาหารเมื่อรับประทานของหวานมากไปทำให้รับประทานอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอ
ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจพอเพียงมิได้เสนอให้ผู้ที่ยังขาดปัจจัยในการดำเนินชีวิตแบบครบถ้วนลด หรืองดบริโภคสิ่งที่จำเป็น นั่นหมายความว่าการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจยังต้องส่งเสริมการผลิตสิ่งที่จำเป็นจนทุกคนสามารถเข้าถึงปัจจัยในการดำเนินชีวิตตามความจำเป็นอย่างเพียงพอ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่โต้แย้งว่าตนยังยากจนและมีปัจจัยไม่ครบถ้วนจะมาบอกให้ลด หรืองดการใช้ทรัพยากรได้อย่างไรเกิดจากความไม่เข้าใจในแนวคิดอย่างแตกฉาน สำหรับการทำความเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงจะผ่าทางตันได้อย่างไร ผมได้เสนอไว้หลายครั้งรวมทั้งในหนังสือเล่มล่าสุดชื่อ “ฝากภูมิปัญญาชาติไทยไว้กับครู”
อนึ่ง หลังเกิดวิกฤติปี 2540 รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศมักประกาศว่าจะยึดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นฐานของการบริหาร แต่นโยบายมักไม่เป็นไปดังคำประกาศ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากผู้กำนโยบายยังไม่เข้าใจและเชื่อมั่นว่าแนวคิดนี้จะมีพลังถึงผ่าทางตันได้ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ประเทศและโลก หรือพวกเขาต้องรอให้ฝรั่งนำไปเสนอเป็นของตนเสียก่อนจึงจะเห็นว่ามีค่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอเรียนว่าตอนนี้มีฝรั่งตั้งชื่อหนังสือว่า Sufficiency Economy อันเป็นคำแปลของเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว แต่มันเป็นการตั้งชื่อแบบมักง่ายโดยเปลี่ยนชื่อบทความเก่าที่เขานำมารวมไว้ในหนังสือเป็นชื่อนี้เท่านั้น เนื้อหาของบทความมีเพียงบางส่วนที่อยู่ในกรอบของเศรษฐกิจพอเพียง ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องซื้อมาอ่าน แต่ควรศึกษาของเราให้แตกฉานดีกว่า
ในช่วงนี้ ชาวไทยต่างออกมาแสดงความอาลัยในการสวรรคตอย่างกว้างขวางและให้คำมั่นสัญญาว่าจะ “ทำดีเพื่อพ่อ” การแสดงออกนี้จะมีผลดีอย่างเป็นรูปธรรมก็ต่อเมื่อทุกคนปฏิบัติตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจังมิใช่ทิ้งไว้ให้เป็นหญ้าปากคอกดังที่รัฐบาลทำ




