กระเทาะความจริง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาตกต่ำ

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในระยะสั้นๆ
โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยทนแล้ง มีระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวสั้น ที่สำคัญราคาจูงใจให้เพาะปลูก เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์โดยความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศมีปริมาณเฉลี่ย 7.8 ล้านตัน แต่ผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกมีอยู่เพียง 4.5 ล้านตันต่อปี ทำให้ผู้ประกอบการอาหารสัตว์ต้องนำเข้าข้าวสาลีและวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นๆ มาใช้ทดแทนในส่วนที่ขาด
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวคราวราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ำออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยราคาข้าวโพดฝักที่เกษตรกรขายได้บางจังหวัด ล่าสุดลดลงมาเหลือกิโลกรัมละ 3-3.50 บาท ขณะที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (สีเป็นเมล็ดแล้ว) รับซื้อเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่กิโลกรัมละ 6-7 บาท ขึ้นอยู่กับความชื้นของผลผลิต
หากติดตามสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในตลาดโลก จะพบว่าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกหลักทั้งสหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา ผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก มีผลผลิตสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยมีการประเมินขั้นต้นว่าผลผลิตข้าวโพดโลกปี 2016/17 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,025.7 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปี 2015/16 ที่มีผลผลิตเพียง 959.1 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 โดยการเก็บเกี่ยวเริ่มมาตั้งแต่เดือนกันยายนและจะสิ้นสุดในต้นเดือนพฤศจิกายนศกนี้ ขณะที่จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ยังมีสต๊อกอยู่สูงถึง 200 ล้านตัน จึงหยุดนำเข้าส่วนราคาในตลาดโลกขณะนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 5.80 – 6.00 บาท
จากสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในตลาดโลกข้างต้น ทำให้บรรดาพ่อค้าคนกลางในประเทศที่ปกติจะเก็บสต็อกไว้เพื่อเก็งกำไรในช่วงปลายฤดู ต่างพยายามที่จะระบายสต๊อกของตัวเองเข้าสู่ตลาดแทนการรับซื้อจากเกษตรกร ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยในฤดูการผลิตปี 2559/60 ที่ทะยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมาซึ่งคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ท้องตลาดมากถึง 1 ล้านตันต่อเดือน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีความต้องการใช้ประมาณ 600,000 ตันต่อเดือน
การดูแลราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูกาลผลิตปี 2559/60 กรมการค้าภายในได้ขอความร่วมมือโรงงานอาหารสัตว์ ให้รับซื้อเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศในราคาไม่ต่ำกว่าปีก่อน หรือกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 8 บาท ที่ความชื้น 14.5% เมื่อทอนเป็นราคาที่เกษตรกรขายแบบฝัก จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 3.80-4.00 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรอยู่ได้
ล่าสุดในการประชุมร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์ และสมาชิกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย โดยพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมฯ ได้มีหนังสือเวียนถึงสมาชิก ถึง 3 แนวทางหลัก ในแก้ปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศตกต่ำประการแรก ให้สมาชิกที่นำเข้าข้าวสาลี รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงเดือน ต.ค-ธ.ค. ในจำนวนสัดส่วนเทียบเคียงกับการนำเข้าเฉลี่ยในอัตรา 1 : 1.5 คือนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1.5 ส่วน เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนเดิมที่ 1 : 1 ทั้งนี้ เพื่อช่วยระบายข้าวโพดและผ่อนคลายสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ล้นตลาดในปัจจุบัน
ประการที่สอง กรมการค้าภายในจะเชิญบริษัทที่ไม่ให้ความร่วมมือ มาพูดคุยถึงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ปัจจุบันและจะวางมาตรการเป็นรายบริษัทต่อไป
และประการที่สาม สมาคมได้เสนอให้รัฐพิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับจัดเก็บสต็อกข้าวโพดให้นานขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับจะนำไปพิจารณาต่อไป ว่าสมาชิกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยที่มีอยู่ 52 รายโดยเฉพาะในรายที่นำเข้าข้าวสาลี จะต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนดในอัตรา 1:1.5 คือ นำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน : การซื้อข้าวโพดภายใน 1.5 ส่วน เพิ่มขึ้นจากเดิมในอัตราส่วน 1:1 เพื่อช่วยระบายข้าวโพดและผ่อนคลายสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ล้นตลาดในปัจจุบัน
สำหรับผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือรับซื้อข้าวโพดในประเทศตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ๆ อย่าง ซีพี เบทาโกร แหลมทอง ไทยฟู้ดส์ คาร์กิลล์ มีทส์ได้ปฏิบัติตามมาอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยรับซื้อข้าวโพดอาหารสัตว์ที่มีความชื้น 14.5% ในราคาต่ำกว่า 8.00 บาท และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทกรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ยังขยายการรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในความชื้นไม่เกิน 30% จากปกติรับที่ความชื้น 14.5% โดยรับซื้อในราคา 8 บาท ที่ความชื้น 14.5% และมีเม็ดเสียไม่เกิน 4% สำหรับพื้นที่เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งราคาจะลดหลั่นไปตามระยะทางขนส่งพร้อมกับเปิดช่องทางพิเศษให้เกษตรกรลงข้าวโพดโดยไม่ต้องรอคิวร่วมกับพ่อค้ารายใหญ่ ทำให้เกษตรกรสามารถลงข้าวโพดภายในวันเดียว
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวงการพืชไร่ขณะนี้ จำเป็นที่กรมการค้าภายในต้องเร่งจัดระเบียบการแก้ไข โดยเฉพาะในรายที่ไม่ใส่ใจต่อนโยบายของภาครัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง




