จะ 10% หรือ 30% ก็ยังเป็น มะเร็งร้ายของระบบราชการไทย

จะ 10% หรือ 30% ก็ยังเป็น มะเร็งร้ายของระบบราชการไทย

พาดหัวหนังสือพิมพ์วันก่อนบอกว่า

 ข้าราชการเตะถ่วงกินเงินใต้โต๊ะ...

อีกพาดหัวบอกว่าเจ้ากระทรวงหนึ่งประกาศ ย้ำงบกระตุ้นเศรษฐกิจห้ามมีเงินทอน

รายละเอียดของข่าวบอกว่า คุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าการรณรงค์และสร้างมาตรการ ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น อยางเข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา ได้ช่วยรัฐประหยัดงบประมาณในโครงการต่าง ๆ ได้มาก

คุณประมนต์บอกว่าเท่าที่ได้รับฟังข้อมูลมา พบว่าการเรียกรับเงินใต้โต๊ะ จากอดีตที่มีการจ่ายเงินเพื่อให้ได้งานโครงการรัฐสูง 25-30% แต่ล่าสุดตัวเลขการจ่ายเงินใต้โต๊ะลดเหลือ 10-15%

คุณประมนต์บอกว่าที่วิกฤตหนักและแก้ไขได้ยาก คือการคอร์รัปชั่นในระบบราชการ มีตั้งแต่ระดับซี 3-4 ขึ้นไปถึงข้าราชการระดับสูง

โดยมีการดึงงานให้ล่าช้า หากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปจ่ายเงิน ก็จะทำให้การอนุมัติงานมีความรวดเร็วขึ้น

ทางองค์กรจะเร่งหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหานี้ต่อไป

คุณประมนต์ยอมรับว่า ทุกกลุ่มในสังคมไทยยังมีการคอร์รัปชั่นอยู่ แต่ที่ภาคเอกชนคลายกังวลและมีความมั่นใจได้คือ ผู้นำประเทศปัจจุบันและผู้นำองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญในการปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มงวด และมีความร่วมมือกันมากขึ้น

อีกทั้งองค์กรฯ ก็เตรียมส่งคนเข้าไปมีส่วนร่วม ในการตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการการลงทุนภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณหน้า 9 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าการรณรงค์ของเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้สร้างความตื่นตัวในหมู่ประชาชน และความตระหนักถึงอันตรายของพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การก่อตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดี เกี่ยวกับพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบต้องถือว่าเป็นความสำเร็จ ของการผลักดันของฝ่ายต่าง ๆ ที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

แต่คำว่า เงินทอน” “กินตามน้ำ และ ค่าน้ำร้อนน้ำชา ก็ยังหลอกหลอนคนไทยที่ต้องติดต่อกับหน่วยราชการหลายหน่วย ที่ยังไม่อาจสลัดความประพฤติฉ้อฉลต่าง ๆ ได้ เพราะวัฒนธรรมเก่า ๆ ของความเกรงใจหรือการไม่อยาก “มีเรื่อง” ของคนไทยจำนวนหนึ่งที่ยังยอมอดทนต่อพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้ยากที่จะ ถอนรากถอนโคน กิจกรรมอันน่ารังเกียจ และเป็นอันตรายต่อการยกระดับความสะอาดสะอ้านของระบบราชการได้

ที่น่าสนใจคือที่เชื่อว่าอัตราค่าเรียกเงินใต้โต๊ะได้ลดลงจาก 25-30% เหลือ 10-15% นั้นจะตีความว่าคอร์รัปชั่นลดความรุนแรงลงได้หรือไม่

น่าศึกษาค้นคว้าให้ลึกต่อไปด้วยว่า การที่ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เกิดจาก การที่นักการเมืองไม่มีบทบาทอำนาจลง ทำให้การเรียกเงินลดเปอร์เซ็นต์ลง เพราะข้าราชการฉ้อฉลเหล่านี้ ไม่ต้องแบ่งกับนักการเมืองหรือไม่

และต้องวิเคราะห์ต่ออีกว่า ที่อัตราเรียกค่าน้ำร้อนน้ำชาลดลงนั้น มาจากกลุ่มข้าราชการโกงกินกลุ่มเดิม ที่ยอมลดเงินที่เรียกร้องหรือเป็นพฤติกรรม ที่ขยายตัวจากที่บางกลุ่มขอ 25-20% กลายเป็นหลาย ๆ กลุ่มเรียกร้อง 10-15% ใช่ไหม?

อีกทั้งยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่ออีกว่า การที่ข้าราชการทุจริตเหล่านี้ลดเปอร์เซ็นต์ค่า “เงินทอน” นั้นเป็นเพราะคิดว่าถ้ารีดไถในอัตราที่ลดลง จะมีโอกาสถูกจับได้น้อยลงไปด้วย หรือคิดว่าหากถูกจับได้ก็จะถูกลงโทษน้อยลงหรือไม่?

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่า “เงินใต้โต๊ะ” จะลดจากที่เคยเรียกร้อง 25-30% ลงมาที่ 10-15% ก็ไม่ได้แปลว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่น ดีขึ้นดั่งที่ประชาชนตั้งความหวังเอาไว้

เพราะตราบที่ยังมี “เงินใต้โต๊ะ” ไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม, นั่นก็คือความชั่วร้ายที่ยังเป็นมะเร็งฝังลึกในระบบราชการของเรา

มะเร็ง 10% หรือ 30% ก็ยังเป็นมะเร็งที่ทำลายความก้าวหน้าของสังคมไทยได้เสมอ