ผลประชามติ : Yes-No ไม่ OK

ผลการลงประชามติ เมื่อวันอาทิตย์
ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก แต่ก็มี “สาร” สำคัญที่ควรแก่การนำไปวิเคราะห์ เพื่อให้คนไทยทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์ จากการออกของคนทั่วประเทศว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
ในระดับชาติที่คน 27 ล้านจากผู้มีสิทธิ 50 ล้าน (ออกมาใช้สิทธิ 58%) ผลการแสดงความเห็น 61.4% เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและ 38.6% ไม่เห็นชอบ ส่วนประเด็นที่สอง 58.11% เห็นพ้องอีก 41.8% ไม่เอาด้วย
ที่ไม่น่าแปลกใจคือผู้คนออกมาใช้สิทธิเพื่อเดินต่อไปข้างหน้า แต่คะแนนที่ออกมา “ชัด” กว่าที่ผมคาดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นร่างรัฐธรรมนูญหรือประเด็นให้สมาชิกวุฒิสภาที่จะได้มาจากกลไกของ คสช. มีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปีจากนี้ไป
อะไรคือ “สาร” ที่ผู้ใช้สิทธิต้องการจะบอกกล่าวผ่านการลงมติครั้งนี้?
ผมคิดว่าข้อแรกคือคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ “การเมืองแบบเก่า” และ “นักการเมืองแบบเดิม”
“สัญญาณ” ที่ส่งออกมาพร้อมกัน เท่ากับเป็นการเห็นพ้องกับรัฐประหารหรือไม่? ผมว่าไม่ใช่ เพราะคนไทยคงจะตระหนักร่วมกัน ว่าบ้านเมืองไปไหนไม่ได้ หากการแก้ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองจะต้องผ่านรัฐประหารและการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญและร่างกันใหม่
เพราะนั่นเท่ากับเรายอมรับว่าสังคมไทยล้มเหลว ต่อการสร้างระบบการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของสิทธิอันชอบธรรมจริง ๆ
ผลประชามติตอกย้ำว่าคนส่วนใหญ่ กลัวว่าหากกลับไปสู่การเลือกตั้งตามกติกาเดิม ๆ ความวุ่นวายก็จะกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง คนแพ้การหย่อนบัตรจะไม่ยอม คนชนะที่มีเสียงมากกว่าก็จะอ้างสิทธินั้น เพื่อกระทำการที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ และกีดกันไม่ให้คนเห็นต่างได้มีพื้นที่ในสังคมเพื่อสร้างระบอบ “ประชาธิปไตย” ในความหมายที่แท้จริง
ต้องยอมรับว่าคะแนนเสียงที่ออกมาอย่างนี้ ไม่ได้เกิดจากการที่ประชาชนทุกคนได้อ่านเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ และตัดสินใจบนพื้นฐานของการเปรียบเทียบสาระแต่ละข้อกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่าน ๆ มา
น่าเชื่อได้ว่าเสียงครั้งนี้มาจาก “ความเชื่อ” และ “ความรู้สึก” ที่ว่าทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ ที่ได้แสดงจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้ ยังไม่อาจเป็นความหวังของประชาชนได้
อีกทั้งเสียงเกินครึ่งก็ต้องการให้เดินหน้า ด้วยร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาควบคุมพฤติกรรมของนักการเมือง ที่ค่อนข้างจะรัดกุมและเข้มข้นกว่าที่ผ่าน ๆ มา
การร่าง “กฎหมายลูก” อย่างน้อย 10 ฉบับที่จะตามมาก่อนจะเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงมีความสำคัญที่จะตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว เนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติครั้งนี้ จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ ที่จะปราบและปรามนักการเมืองฉ้อฉลและนำไปสู่การ “ปฏิรูป” บ้านเมืองที่แท้จริงหรือไม่
แต่ก็อย่าได้เหมาตีความว่าผลการลงประชามติครั้งนี้เป็นการให้ “ไฟเขียว” คสช. ที่จะทำอะไรก็ได้ด้วยอำนาจของตนเอง เพราะแม้ว่าประชาชนจะสะท้อนถึงความไม่ต้องการเห็นความวุ่นวายกลับมาสู่สังคมอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคนส่วนใหญ่ ต้องการให้อำนาจอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียวที่ยังไม่เปิดกว้างให้ความเห็นต่าง หรือความคิดที่จะสร้างชาติสร้างบ้านเมือง ในอีกแนวทางหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องตรงกับของผู้มีอำนาจทุกวันนี้
ดังนั้น ผลการลงประชามติครั้งนี้จึงน่าจะเป็นการยืนยันว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจนักการเมือง ต้องการให้ คสช. นำพาประเทศสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง ภายใต้กรอบเวลาที่ชัดแจ้ง และระดมความคิดเห็นของคนทุกภาคส่วนมาร่วมในการทำให้เกิดการ “เปลี่ยนผ่าน” ประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีเหตุมีผล, เคารพในความหลากหลายทางความคิด และสร้างความแข็งแกร่งในทุก ๆ ด้านเพื่อลูกหลานต่อไป
ผลประชามติครั้งนี้เป็นการทิ้งการบ้านให้กับทุกฝ่าย ที่จะต้องปรับตัวให้เข้าสู่แนวทางการปฏิรูป เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ตอกย้ำว่าอำนาจไม่ว่าของฝ่ายใดย่อมไม่จีรัง
ผลประโยชน์ของชาติเท่านั้นที่ยั่งยืนถาวร




