เพิกถอนการจดทะเบียนบริษัท

เพิกถอนการจดทะเบียนบริษัท

การตั้งบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กระทำได้เมื่อบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเริ่มก่อการจัดตั้ง

บริษัทโดยเข้าชื่อกันจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ นำหนังสือบริคณห์สนธิไปจดทะเบียน จัดให้มีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นครบแล้ว ผู้เริ่มก่อการนัดประชุมจัดตั้งบริษัท เมื่อประชุมจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จ กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งต้องไปขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้นกับนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนแล้ว บริษัทมีฐานะเป็นนิติบุคคล

เมื่อจดทะเบียนแล้ว บริษัทจะเลิกกัน เมื่อมีเหตุตามที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย ดังนี้

เมื่อมีเหตุตามที่กำหนดในข้อบังคับของบริษัท หรือเมื่อถึงเวลาตามที่กำหนดไว้ตอนจัดตั้งบริษัท หรือเมื่อทำกิจการตามที่กำหนดไว้เสร็จสิ้นแล้ว หรือ เมื่อมีมติเศษให้เลิก หรือเมื่อบริษัทล้มละลาย นอกจากนี้บริษัทยังเลิกกันตามคำสั่งศาล เมื่อทำผิดในการยื่นรายงานการประชุมจัดตั้งบริษัทซึ่งศาลอาจให้ยื่นรายงานการประชุมตั้งบริษัท หรือให้มีการประชุมตั้งบริษัท แทนการให้เลิกก็ได้ หรือไม่เริ่มทำการภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันจดทะเบียน หรือหยุดทำการถึงหนึ่งปีเต็ม หรือการค้าของบริษัททำไปมีแต่จะขาดทุนอย่างเดียว และไม่มีทางหวังจะฟื้นตัวได้ หรือผู้ถือหุ้นเหลือน้อยไม่ถึงสามคน

บริษัทที่เลิกกัน กฎหมายยังถือว่ายังคงตั้งอยู่เพื่อประโยชน์ในการชำระบัญชี จนกว่าจะชำระบัญชีเสร็จ สิ่งที่ต้องทำในการชำระบัญชีเมื่อบริษัทเลิกกันคือ การชำระการงานของบริษัทที่ยังคงค้างอยู่ให้เสร็จไป กับจัดการใช้หนี้เงิน และแจกจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทนั้น จนกว่าหมดหนี้หรือไม่มีทรัพย์สินค้างอยู่ หลังจากนั้นจึงจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี การเลิกบริษัทเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

กรณีบริษัทที่ไม่ได้ทำการค้าขายหรือมิได้ประกอบการงานแล้ว โดยพิจารณาจากการที่ไม่ได้ส่งงบการเงินสามปีติดต่อกัน จะถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนเนื่องจากเป็นบริษัทร้าง การถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนเนื่องจากเป็นบริษัทร้าง มีผลให้บริษัทสิ้นสภาพนิติบุคคลตั้งแต่วันถูกถอนออกจากทะเบียน แต่ความรับผิดของกรรมการหรือผู้ถือหุ้นมีอยู่อย่างไร ก็ยังคงมีอยู่เสมือนบริษัทไม่ได้สิ้นสภาพนิติบุคคล

แต่ถ้าผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ของบริษัทที่ได้รับความเสียหายโดยไม่เป็นธรรมจากการที่บริษัทถูกถอนชื่อออกจากทะเบียน อาจร้องขอต่อศาล ถ้าศาลเห็นว่าขณะที่บริษัทถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนยังทำการค้าขาย

หรือประกอบกิจการอยู่ หรือเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม เช่น ยังมีหนี้สินค้างอยู่ ศาลจะสั่งให้จดชื่อบริษัทนั้นกลับเข้าไปในทะเบียนอีกก็ได้ ให้มีฐานะใกล้เคียงที่สุดกับฐานะเดิมเสมือนไม่เคยถูกถอนออกจากทะเบียนก็ได้ โดยศาลจะกำหนดเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ ให้บริษัทกลับเข้าในทะเบียน เฉพาะช่วงที่เวลาที่จำเป็นในการจัดการเรื่องหนี้สิน หรือจัดการกับทรัพย์สินของบริษัทจนเสร็จสิ้นก็ได้

ในการดำเนินการจัดตั้งบริษัท ถ้าปรากฏว่ามีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น เริ่มจากการจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ โดยผู้เข้าชื่อจัดทำบริคณห์สนธิ หรือที่เข้าชื่อซื้อหุ้นไม่มีตัวตนที่แท้จริง หรือไม่ใช่บุคคลที่ระบุไว้ในเอกสารขอจดทะเบียน โดยมีการปลอมและใช้บัตรประจำตัวปลอม กรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุเลิกบริษัท หรือสามารถถอนชื่อออกจากทะเบียนอันเนื่องจากเป็นบริษัทร้างได้ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะหุ้นส่วนบริษัท ก็ไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจหน่วยงานหรือนายทะเบียนดำเนินการอย่างไรต่อไปกับกรณีเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ และรับจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เป็นคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 การดำเนินการในกรณีเช่นนี้จึงต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าว คือเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ภายใน 90 วันนับแต่วันรู้เหตุที่ควรเพิกถอน เว้นแต่เป็นคำสั่งทางปกครองนั้นได้ทำขึ้น จากการกระทำที่ไม่ชอบของผู้ขอให้ทำคำสั่ง จะเพิกถอนเมื่อใดก็ได้

การนำบัตรประจำตัวประชาชนปลอมมาใช้ในการจดทะเบียน ซึ่งเป็นการกระทำที่มีความผิดตามกฎหมายอาญา ย่อมมีผลทำให้คำสั่งของนายทะเบียนที่รับจดทะเบียนเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทะเบียนสามารถเพิกถอนการรับจดทะเบียนได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 50 ของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 โดยจะให้มีผลทันทีหรือในอานาคตก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือ การเพิกถอนคำรับจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ย่อมทำให้สภาพนิติบุคคลของบริษัทสิ้นสุดไป อาจมีผลกระทบเสียหายถึงเจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้นที่สุจริตได้

ดังนั้น การเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทในกรณีนี้จึงควรพิจารณาให้มีช่องทางเยียวยาเจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้นโดยสุจริตด้วย เช่น ออกคำสั่งเพิกถอนให้มีผลในอานาคต ให้มีเวลาเพียงพอเพื่อสะสางหนี้สินและทรัพย์สิน โดยอาจนำบทบัญญัติว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทที่เลิกกันมากำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในคำสั่งเพิกถอนโดยอนุโลม และกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในระหว่างนี้บริษัทจะทำนิติกรรมหรือธุรกรรมใหม่มิได้ เว้นแต่ส่วนที่เกี่ยวกับการชำระหนี้ที่ค้างอยู่และการจัดการกับทรัพย์สินของบริษัทและของผู้ถือหุ้นเท่านั้น