การปรับตัวผู้ปลูกส้มวาเลนเซียในออสเตรเลีย

การปรับตัวผู้ปลูกส้มวาเลนเซียในออสเตรเลีย

ปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก แม้ว่าทุกรัฐบาลมีนโยบาย

ในการดูแลเกษตรกร แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เกษตรกรยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเองได้อย่างยั่งยืน ทุกวันนี้ชีวิตเกษตรกรยังถูกรุมล้อมด้วยปัญหาสารพัด ตอนปลูกก็ต้องลุ้นกันว่าฝนจะแล้วน้ำจะท่วมหรือเปล่า ผลผลิตออกมายังต้องลุ้นอีกว่าจะขายได้ราคาดีแค่ไหน และถึงแม้ปีนี้จะดี ปีหน้าก็ไม่แน่ว่าจะดีเหมือนปีนี้ ชีวิตแบบนี้ดูยังไงก็ไม่มั่นคงเลย

ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่เจอกับปัญหานี้ เมื่อประมาณ 15-20 ปีก่อน ออสเตรเลียก็มีปัญหาลักษณะเดียวกันจนนำไปสู่การปฏิรูปภาคเกษตรซึ่งใช้กว่าสิบปีถึงจะเห็นผลเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมา

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักสองข้อด้วยกัน สาเหตุแรก คือ แรงกดดันจากข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งกำหนดให้ภาครัฐลดการช่วยเหลือภาคการเกษตร นั่นหมายความว่า ชะตาชีวิตของเกษตรกรจะผูกติดกับตลาดโลกมากขึ้น สาเหตุที่สอง เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานเพื่อช่วยภาคอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับการเกษตรให้มีผลประกอบการดีขึ้น

รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ของออสเตรเลียในยุคนั้นทราบดีว่า งานนี้ต้องมองเกมให้ขาด เพราะอนาคตข้างหน้า การแข่งขันในตลาดสินค้าเกษตรของโลกมีแต่จะดุเดือดรุนแรงขึ้น การปรับตัวจึงต้องมองไกลกว่าความอยู่รอดระยะสั้นแบบปีต่อปีของเกษตรกร ต้องมองให้ไกลว่า ทำอย่างไรเกษตรกร และภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็งในการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในอนาคต โดยไม่ต้องพึ่งพอความช่วยเหลือของรัฐอยู่ร่ำไป

หลังจากมีการศึกษาทางเลือกต่างๆ ถอดประสบการณ์ของประเทศอื่น และมีการวิจัยอย่างเข้มข้น คณะทำงานที่รับผิดชอบในการพัฒนานโยบายปรับโครงสร้างภาคเกษตรได้เสนอว่า นโยบายที่ใช้ควรแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ 1) นโยบายระยะสั้นและระยะกลางสำหรับบรรเทาผลกระทบในระหว่างการปรับโครงสร้างภาคการเกษตร ซึ่งรวมไปถึงนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรที่อยากเลิกทำการเกษตรให้สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ในภาคเศรษฐกิจอื่นได้ และ 2) นโยบายที่จะปรับโครงสร้างภาคเกษตรให้ไปสู่จุดที่ต้องการในระยะยาว

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือการปรับตัวของเกษตรผู้ปลูกส้ม เนื่องจากออสเตรเลียจำเป็นต้องลดกำแพงภาษีนำเข้าหัวน้ำส้มเข้มข้นแช่แข็ง ทำให้มีการนำเข้าหัวน้ำส้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาส้มในประเทศลดลง โดยเฉพาะส้มวาเลนเซีย

กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกส้มได้เรียกร้องให้รัฐยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยการใช้มาตรการปกป้องที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของ WTO แต่รัฐบาลก็ใจแข็งปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้ไป ความช่วยเหลือที่รัฐบาลจัดให้เป็นการให้เงินช่วยเหลือแบบจำกัดวงเงิน 28.50 ล้านดอลลาร์ หรือ 710 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการให้เงินสนับสนุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต การให้คำแนะนำทางวิชาการ การให้เงินทุนและอบรมสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่น ที่สำคัญมาตรการเหล่านี้ไม่ได้ให้แบบหว่านแห แต่เป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยเท่านั้น เพราะเกษตรกรรายใหญ่มีความสามารถในการปรับตัวอยู่แล้วแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือเหล่านี้

รัฐบาลให้ข้อมูลกับเกษตรกรผู้ปลูกส้มอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มโครงการเหล่านี้ว่า ความช่วยเหลือด้านการเงินที่ให้เป็นความช่วยเหลือระยะสั้น เพื่อให้ปรับตัวได้ มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เมื่อถึงกำหนดแล้ว ความช่วยเหลือเหล่านี้จะถูกลดระดับลง เกษตรกรจึงเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงให้มากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกษตรกรสามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง

สิ่งที่เกษตรกรเหล่านี้ถูกปลูกฝังควบคู่กันไปด้วย คือทัศนคติที่ว่าเกษตรกรเป็นนักธุรกิจไม่ใช่คนปลูกผักเลี้ยงสัตว์ เมื่อเป็นนักธุรกิจก็ต้องคิดอย่างนักธุรกิจ รู้เท่าทันกลไกตลาด ทำธุรกิจอย่างมืออาชีพ ความสำเร็จและล้มเหลวในการทำธุรกิจการเกษตร เป็นความรับผิดชอบของตัวเกษตรกรเอง เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ เพราะความเป็นจริงก็คือ รัฐไม่จำเป็นต้องยืดอกรับปัญหาทุกอย่าง ซึ่งการที่รัฐบาลพยายามไม่เข้าไปอุ้มเกษตรกรกลายเป็นแรงเสริมทางอ้อมให้เกษตรกรอยากปรับตัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลได้ส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงผ่านกลไกตลาด โดยเฉพาะการประกันภัยพืชผลและประกันวินาศภัย ซึ่งช่วยให้ภาระทางการคลังของรัฐบาลลดลงไปอย่างมาก

ผลจากการปรับโครงสร้างภาคเกษตรนี้ ช่วยให้เกษตรกรมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้ว่าหนี้ต่อครัวเรือนเกษตรจะสูงขึ้น แต่รายได้หลังหักภาระนี้กลับสูงกว่าก่อนมีการปรับโครงสร้าง สะท้อนให้เห็นว่าการปรับโครงสร้างภาคเกษตรมีความเป็นไปได้ เป็นประโยชน์กับเกษตรกรอย่างแท้จริง

คำถามที่ควรถามรัฐบาลในวันนี้จึงไม่ใช่ว่ารัฐบาลกล้าพอที่จะทำหรือเปล่า แต่เป็นคำถามว่ารัฐบาลหวังดีกับเกษตรมากพอที่จะช่วยพวกเขาให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงหรือไม่