กุศโลบายพุทธธรรม

วันนี้วันเข้าพรรษา 3 เดือนต่อแต่นี้ เป็นช่วงเวลาพุทธบริษัท
จะได้ครองตน ครองธรรม สงบจิต สงบใจ ขัดเกลาตนเองจากกิเลส
วัด ที่พึ่งทางจิตใช้ยึดเหนี่ยวไม่ให้หลงใหลกับตัณหายั่วยุ ปกติเราจะเดินเข้าวัดก็ต่อเมื่อมีปัญหา และต้องการความสงบ หรือจะคิดถึงวัด เมื่อต้องการทำบุญ สะเดาะเคราะห์เท่านั้น โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่ วัด ห่างเหินออกจากวิถีชีวิต มองว่าวัดเป็นสถานที่น่าเบื่อ ไม่สมวัยเด็กต้องสนุกสนาน เวลานาฬิกาชีวิตยังเหลืออีกมาก ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบเข้าวัดตอนนี้
เด็ก ไม่เข้าวัด ไม่เจอพระสงฆ์ เท่ากับไม่ได้มีโอกาสซึมซับหลักธรรมคำสอน ยิ่งทำให้เด็กห่างไกลพระพุทธศาสนา หันเข้าหาเกม กับโทรศัพท์มือถือ
เด็กที่ไม่ได้รับการขัดเกลาจิตใจให้ดีงาม จึงขาดหลักธรรมการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ขาดการยั้งคิด อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ส่งผลให้เกิดปัญหาเด็ก และเยาวชนมากมาย
ทำอย่างไร เด็กจะใกล้วัด พระสงฆ์ จะรอให้เด็กเดินเข้าวัด เป็นไปได้ยาก พระสงฆ์ ควรหาเทคนิคการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเชิงรุก เข้าหาที่ตัวเด็ก ถ้าพระ ยังปักหลักอยู่แต่ในวัด นับวันมีแต่ห่างไกลออกไป
ประธานชมรมนิสิต มจร. พระสิระพงษ์ พรหมปัญโญ ชวนเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ใหม่ จาก “ผู้รับ” เป็นผู้ให้
ชมรมนิสิต มจร.จึงเป็นมิติใหม่ในการรับใช้สังคม ผ่านโครงการรักการอ่าน หนึ่งในโครงการ “Gen A พลังอ่านเปลี่ยนเมือง” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้พระทำงานเชิงรุก ไม่ใช่เพียงแต่ฆราวาสเท่านั้น ถ้าเราจะเผยแพร่ศาสนา ต้องลงพื้นที่ สิ่งสำคัญสุด คือต้องเข้าไปสู่ใจคน โดยเฉพาะเด็ก พระต้องลงไปหาเด็กๆ
ในอดีตวัดกับโรงเรียนอยู่ด้วยกัน แต่พอแยกกันออกไป ทำให้เด็กกับพระห่างกัน เด็กก็ไม่ได้ซึมซับคุณธรรมและจริยธรรม ถึงเวลาแล้วที่เราจะเอาธรรมะเข้าไปขัดเกลา และสอนอย่างเดียวไม่ได้ต้องให้เขาอ่านท่องให้ขึ้นใจ
ผู้อำนวยการสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สสส. ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ บอกว่า อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานชีวิต ส่งผลต่อการเรียนรู้ไปสู่ผลลัพธ์สุขภาวะที่ดีทั้ง 4 มิติ คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และปัญญา
สำหรับพื้นที่เป้าหมายชมรมนิสิต มจร.ตั้งเป้าไว้ 10 โรงเรียน มีคณะทำงานร่วมกิจกรรม 80 คน ช่วยกันสอนเด็กให้อ่านออก-เขียนคล่อง และแทรกด้วยหลักธรรมพระพุทธศาสนา







