ประภาคารจีนกลางทะเลจีนใต้ : แสงสว่างในความมืดมน

หรือสัญลักษณ์ของคลื่นลมปั่นป่วน?
วันนี้ ไม่ว่าศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮก (The Permanent Court of Arbitration at the Hague หรือ PCA) จะมีคำวินิจฉัยเรื่องทะเลจีนใต้ที่ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องอย่างไร การทูตระหว่างประเทศก็จะร้อนแรงขึ้นอีกรอบหนึ่ง
เพราะจีนประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า จะไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลแห่งนี้ อีกทั้งยังขู่ฟิลิปปินส์ว่าหากกระทำการ “ยั่วยุ” จากผลการวินิจฉัยนี้ไปทางใดทางหนึ่ง ปักกิ่งก็จะไม่นิ่งเฉย พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อ “ปกป้องอธิปไตย” ของตน
และเพียงหนึ่งวันที่ศาลอนุญาโตตุลาการจะอ่านคำวินิจฉัย ทางการจีนก็ออกข่าวว่าการก่อสร้าง “ประภาคาร” แห่งที่ 5 ของจีนในทะเลจีนใต้ใกล้จะเสร็จแล้ว
รูปที่ผมเอามาให้ดูวันนี้เป็นประภาคารที่ “หินปะการังจูปี” (Zhubi Reef) ที่หมู่เกาะหนานซา (Nansha Islands) ในทะเลจีนใต้ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 เมษายนปีนี้
นั่นเป็นประภาคารหลังที่ 4 เป็นการตอกย้ำของฝ่ายจีนว่าน่านน้ำแถวนั้นเป็น “ของฉัน” ดังนั้นจึงสามารถจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งด้านทหารและด้านคมนาคมทางทะเล โดยไม่ต้องปรึกษาหารือกับใคร
จีนเริ่มสร้างประภาคารในทะเลจีนใต้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว ถึงวันนี้ที่เปิดใช้แล้ว 4 แห่งคือที่ปะการัง Huayang, Chigua, Zhubi และ Yongshu
โครงการล่าสุดเพิ่มจะเริ่มใช้ทำงานเมื่อวันที่ 25 เดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง
ประภาคารแห่งที่ 5 จะสร้างที่หินปะการังที่ชื่อ Meiji (เหม่ยจี) เพื่อสนับสนุนให้เกิดความปลอดภัย ในการเดินทะเลสำหรับทุกประเทศ มิเฉพาะเจาะจงสำหรับของจีนเท่านั้น
ประภาคารของจีนที่สร้างในทะเลจีนใต้มีความสูงประมาณ 50-55 เมตร ติดตั้งระบบจับสัญญาณอัตโนมัติทันสมัย ที่เป็นเครื่องมือมาตรฐานสากล เรียกว่า Automatic Identification System เพื่อให้เรือที่แล่นอยู่บริเวณใกล้เคียง สามารถรับข่าวสารข้อมูลทันเหตุการณ์ และส่งสารถึงประภาคารเพื่อขอความช่วยเหลือหากจำเป็น
จีนบอกว่าที่สร้างประภาคารเหล่านี้ขึ้น ก็เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบของปักกิ่ง ในอันที่จะยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือและการค้า เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ที่มีความสำคัญต่อประชาคมโลก
จีนบอกด้วยว่าจะยังเดินหน้าสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ทางด้านการเดินเรือในทะเลจีนใต้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกู้ภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของจีน สะท้อนถึงความพยายามที่จะรักษาสถานภาพของการเป็น “เจ้าของบ้าน” ในทะเลจีนใต้ขณะที่ยังมีปัญหาข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซียหรือบรูไน โดยไม่สนใจว่าศาลโลกจะตัดสินอย่างไร
อีกทั้งยังหวังว่าประธานาธิบดีใหม่ของฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต จะมีท่าทีที่เป็นมิตรกับจีนมากกว่าผู้นำคนก่อน ที่ยื่นเรื่องนี้กับศาลโลกจนทำให้ปักกิ่งเต้นอย่างร้อนรนขณะนี้
แต่ไม่ว่าศาลโลกจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร การเมืองระหว่างประเทศเรื่องทะเลจีนใต้ ก็จะไม่สงบหากจีนไม่นั่งลงหาทางออกร่วมกับประเทศที่เป็นคู่กรณี
อีกทั้งจีนยังจะต้องแสดงความเคารพ และให้เกียรติกับอาเซียนในฐานะองค์กร 10 ประเทศซึ่งกำลังถูกมองว่าถูกจีนสร้างความร้าวฉานด้วยการทูตแบบ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ด้วยการล็อบบี้ให้บางประเทศเช่นกัมพูชาและลาว (ซึ่งเป็นเจ้าภาพหมุนเวียนของอาเซียน และจะจัดให้มีการประชุมสุดยอดที่กรุงเวียงจันทน์ในปีนี้) เอาตัวออกห่างจากการแสดงจุดยืนร่วมกัน ขององค์กรว่าด้วยปัญหาในทะเลจีนใต้
จีนต้องการเจรจาแบบตัวต่อตัวหรือทวิภาคี แต่อาเซียนต้องการให้จีนร่วมกันสร้าง “กติการ่วมกัน” ในประเด็นความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ เพื่อไม่ให้เกิดความระหองระแหงสงสัยคลางแคลงกัน ระหว่างอาเซียนด้วยกันในกรณีนี้
การสร้างประภาคารของจีนเป็นการตอกย้ำว่า จีนยังยืนกระต่ายขาเดียวในจุดยืนของตนในเรื่องนี้ ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วน ที่จะแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประภาคารกลางทะเลควรจะเป็น “แสงสว่างนำทาง” ในความมืดมน... ไม่ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความขัดแย้ง ในทะเลที่เผชิญคลื่นลมอันปั่นป่วน!







