จนกว่าประชาธิปไตยจะสมบูรณ์...สาธุ

เพื่อนโทรมารำพึงรำพันกับผมเมื่อเย็นๆ วันพฤหัสบดีว่า
“นี่ถ้าลูกคนเล็กผมบอกว่าจะไม่ยอมไปโรงเรียน จนกว่าประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ผมจะทำไงดี?”
ผมบอกเขาว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อย่าได้เป็นห่วงเป็นใยอนาคตของลูกอีกเลย เพราะหากเขาหาเหตุผลเช่นนั้นได้ ศรีธนญชัยก็ต้องเรียกพี่ คนจบปริญญาเอกในประเทศไทย ทุกวันนี้จำนวนมาก ยังไม่สามารถคิดอะไรลุ่มลึกได้เช่นนั้นด้วยซ้ำไป
“ดราม่า” ที่วัดรูปจานบินเมื่อวันพฤหัสฯ สร้างความสลดและขบขันได้พอกัน เพราะคนไทยที่ติดตามข่าวสารเรื่องนี้เริ่มจะแยกไม่ออกว่าอะไรคือเรื่องศาสนา อะไรเป็นการเมืองและอะไรคือกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น
นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า เรื่องนี้กลายเป็นการประลองเชิง ระหว่างเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกับคนที่อ้างเป็นพระ สอนสั่งว่าการขึ้นสวรรค์สามารถตีตั๋วด้วยราคาที่แตกต่างกันได้
บางคนบอกว่านี่สะท้อนว่าคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายนั้นสามารถ “ต่อรอง” กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเงื่อนไขต่างๆ ได้เช่นจะเลือกให้หมอคนไหนมาตรวจก็ได้ จะรับทราบข้อหาที่ไหนก็ได้ และหากมีจำนวนคนมากพอก็มานั่งสวดมนต์ขวางทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปค้นบ้านได้กระนั้นหรือ?
นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์บางคนมองว่า ต่างฝ่ายต่างดำเนินแผนเพื่อไม่ให้ “ตกหลุมพราง” ของอีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหากเกิดความรุนแรงและทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก็เท่ากับว่าทางการเพลี่ยงพล้ำ
แต่หากพระไม่ให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ ก็จะถูกมองว่าขัดขวางการทำหน้าที่ของ ผู้ได้รับมอบหมายตามกฎกติกาบ้านเมือง
จึงกลายเป็นภาพของ “ลูกศิษย์” หลายพันคนที่นั่งตากฝนสวดมนต์ ไม่ลุกให้เจ้าหน้าที่เข้าไป “ตรวจค้น” หาผู้ถูกกล่าวหา
ทั้งๆ ที่ไม่มีใครในนั้นไม่รู้ว่าผู้ถูกกล่าวหาควรจะอยู่ที่ไหนในวัดแห่งนั้น
“ลูกศิษย์” ที่นั่งสวดมนต์เฉย ๆ กับ “คณะลูกศิษย์” ที่เขียนแถลงการณ์ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ต้องรอให้ประเทศชาติมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก่อนจึงจะทำหน้าที่ตาม “หมายค้น” และ “หมายจับ” ได้เป็นคนละกลุ่มกันหรืออย่างไรไม่มีใครบอกได้
รู้แต่ว่าเป็นแถลงการณ์ที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แสดงจุดยืน ที่สร้างความฮือฮาได้อย่างกว้างขวางเพียงนั้น
“เกมยื้อ” นี้จะดำเนินต่อไปอีกกี่วันไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่ายิ่งวันก็ยิ่งจะมี “นวัตกรรม” ซื้อเวลาที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของชาวพุทธทั่วไปให้ปล่อยวางและมีสติ ไม่ติดยึดและไม่ปรุงแต่งผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น
คนไทยบางคนเล่าย้อนหลังไปกรณี “จิม โจนส์” ที่สร้างตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้า “ลัทธิ” อ้างตนเป็นผู้นำศาสนาที่สามารถพาสาวกไปขึ้นสวรรค์ตามบัญชาของตนได้
โศกนาฏกรรมจิม โจนส์ เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 เมื่อ “เจ้าสำนัก” ที่สามารถ “ล้างสมอง” สาวกให้ทำตามสิ่งที่ตนต้องการแม้จะผิดกฎหมายบ้านเมือง และมีคนร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนความถูกต้องทำนองคลองธรรมของสังคม
เขาสร้างลัทธิใหม่ของเขาชื่อ Peoples Temple ที่รัฐอินเดียน่า และต่อมาย้ายไปแคลิฟอร์เนีย
“เจ้าสำนัก” ที่สร้าง Jonestown ขึ้นมาอ้างว่าสามารถจะพาสาวกผู้ซื่อสัตย์ ไปขึ้นสวรรค์ได้หากทำตามที่ตนสั่งทุกอย่าง
เมื่อทางการเข้าสอบสวนข้อกล่าวหาพฤติกรรมประหลาด ๆ ทั้งหลายก็เกิดการสังหารหมู่และฆ่าตัวตายอย่างน่าสะพรึงกลัวถึง 918 คน ในจำนวนนี้มีเด็กเสียชีวิตเกือบ 300 คน ส่วนใหญ่เพราะกินยาพิษไซยาไนด์ เพราะหลงเชื่อในคำสั่งสอนของเจ้าลัทธิคนนี้
อีกกรณีหนึ่งที่ละม้ายกัน เพราะหนุ่มอเมริกันอีกคนอ้างตนเป็น “ผู้วิเศษองค์สุดท้าย” ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
นาย David Koresh ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิ Branch Davidians ฐานใหญ่อยู่ที่ Mount Carmel Center ใกล้เมืองวาโก้ของรัฐเท็กซัส
เรื่องนี้ก็จบลงด้วยความรุนแรงและเศร้าสลดเมื่อปี 1993 เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ขอเข้าไปตรวจว่ามีอาวุธผิดกฎหมาย และพฤติกรรมที่ส่อไปในทางไม่ปกติ เพราะมีข้อร้องเรียนมาก ถึงขั้น FBI ต้องสั่งบุกล้อมเมื่อขัดคำสั่งให้เปิดประตูเข้าตรวจค้น
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปในบริเวณนั้นได้ เกิดไฟไหม้ใหม่ในศูนย์แห่งนั้น เจ้าสำนักและสาวกอีก 79 คนถูกไฟคลอกตาย สงสัยว่าจะเป็นการ “ฆ่าตัวตายหมู่” ตามคำสั่งของเจ้าลัทธินั้นเอง
หวังว่าในเมืองไทยเรา ทุกอย่างจะจบลงอย่างสงบ ทุกคนเคารพในบทบาทหน้าที่ของกันและกัน อีกทั้งยังรักษาความศรัทธาของคนไทยต่อศาสนาพุทธ เชื่อถือในการทำหน้าที่ของผู้รักษากฎหมาย และรักษาความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายได้
เพราะวัดคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งสร้างศรัทธาและที่ที่ปฏิบัติธรรม ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่หมกมุ่นกับวัตถุ ไม่หลงใหลใน “ลัทธิตัวบุคคล” และหลีกเลี่ยงความรุนแรงทุกรูปแบบโดยสิ้นเชิง