เสียงจากเปียงยาง : ทำไมต้องมีอาวุธนิวเคลียร์?

ทำไมเกาหลีเหนือต้องทดลองอาวุธนิวเคลียร์?
ทำไมเปียงยางมีท่าทีก้าวร้าวต่อประเทศต่าง ๆ เหมือนจะก่อให้เกิดสงครามตลอดเวลา? ประชาชนไม่มีจะกินแต่ทำไมรัฐบาลเกาหลีเหนือ จึงยังใช้งบประมาณมากมายในการตระเตรียมเพื่อทำสงคราม?
คิมจองอึน ผู้นำวัย 33 ของเกาหลีเหนือคนนี้จะนำประเทศเข้าสู่ภาวะสงครามหรือไม่?
เกาหลีเหนือได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรหรือ sanctions ของประเทศตะวันตกและสมาชิกสหประชาชาติเพียงใด?
เกาหลีเหนือยังฟังเสียงกระซิบจากประเทศจีนหรือเปล่า?
เหล่านี้คือคำถามที่คุณเทพชัย หย่อง กับผมหอบเอาไปเกาหลีเหนือเมื่อมีโอกาสเหยียบดินแดนแห่งความลี้ลับแห่งนี้
หาคนที่เกาหลีเหนือตอบคำถามเหล่านี้ได้ยาก เพราะเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งมา “ประกบ” เราไม่พร้อมจะตอบทุกคำถาม หรือแม้จะพยายามตอบก็จะมีอาการอ้ำอึ้ง
แต่คนที่ไม่ลังเลที่จะแสดงจุดยืนของรัฐบาลของเขาในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้คือคนที่มีตำแหน่งเป็น “เลขาธิการ” ของ คณะกรรมการสันติภาพแห่งชาติเกาหลีหรือชื่อฝรั่งว่า Korean National Peace Committee (KNPC) ชื่อคุณ “โอว รียอง อิล” ซึ่งเป็นคนประสานงานกับคณะเจ้าของรางวัลโนเบลที่เราร่วมคณะไปด้วยกับมูลนิธิสันติภาพสากลหรือ International Peace Foundation.
คุณโอวเป็นคนหน้าตาขึงขัง พูดเสียงดังฟังชัด ไม่อ้อมค้อม และดูเหมือนจะเป็น “กระบอกเสียง” ทางการเกาหลีเหนืออย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด
คุณโอวยืนยันว่าสหรัฐคือศัตรูของเกาหลีเหนือ เขาบอกว่าสื่อตะวันตกและรัฐบาลสหรัฐพยายามจะสร้างให้เกาหลีเหนือมีภาพเป็น “ปีศาจ” เพื่อเป็นข้ออ้างให้สหรัฐฯยังสามารถคงกำลังทหารไว้ในภูมิภาคนี้
เขาไม่ปฏิเสธว่าเกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ “แต่นั่นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเราเอง...”
คุณโอวตอบคำถามเราเรื่องนี้ด้วยหน้าตาจริงจังมาก ตอนหนึ่งเขาบอกว่า
“ถ้าเพื่อนบ้านผมมีมีด และวิ่งเข้ามาหาผม ถ้าผมไม่มีมีด ผมก็ตายลูกเดียว แต่ถ้าผมมีมีดด้วย คุณเข้ามา คุณก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน ดังนั้นสหรัฐฯเป็นฝ่ายผลักดันให้เราต้องมีโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แม้จะมีข้อตกลงก่อนหน้านี้ว่าจะยุติการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ แต่ในปี 1993 สหรัฐไม่ทำตามสัญญา และประธานาธิบดีจอร์จ บุชกล่าวหาเราเป็นแกนแห่งความชั่วร้าย และหันอาวุธนิวเคลียร์มาทางเรา อย่างนี้เราจะมีทางเลือกอะไร?”
เขาบอกว่าถ้าอัฟกานิสถาน อิรักและซีเรียมีความเข้มแข็งในตัวเองในการต่อต้านพวกจักรวรรดินิยม ก็จะไม่มีใครสามารถบุกเข้าไปรุกรานได้
ในวิธีคิดของเกาหลีเหนือนั้น “สันติภาพไม่ใช่สิ่งที่ใครคนอื่นเขายื่นให้เรา เราจะต้องแสวงหาสันติภาพด้วยการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง”
นี่คือจุดยืนของเปียงยางที่มองไม่เหมือนคนอื่น และได้กลายเป็นชาติที่ถูกโดดเดี่ยวที่สุดในยามนี้
หากเป็นเช่นนั้น เกาหลีเหนือมีเงื่อนไขอะไร ที่จะทำให้ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ลุกลามบานปลายกลายเป็นจุดที่อาจก่อให้เกิดสงครามรอบใหม่ได้?
คุณโอวในฐานะเป็นคนบริหารคณะกรรมการว่าด้วยสันติภาพเคยเป็นทหารมาก่อน ลีลาท่าทางและน้ำเสียงของเขาจึงขึงขังแบบทหาร
“ปีที่แล้ว เราขอให้สหรัฐยุติการซ้อมรบในย่านนี้ โดยเราพร้อมจะหยุดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ชั่วคราว เพื่อสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่เราไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างไร และพวกเขาก็ยังดำเนินการซ้อมรบกันต่อ...”
ผมถามว่าถ้าสหรัฐกับเกาหลีใต้ไม่หยุดการซ้อมรบ เกาหลีเหนือก็จะสร้างสมอาวุธนิวเคลียร์ต่อไปกระนั้นหรือ?
คุณโอวตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ใช่สิ ก็เราเห็นว่านั่นคือสิ่งที่คุกคามประเทศและประชาชนของเกาหลี เราได้ส่งสัญญาณมาตลอดว่าเราพร้อมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งลงเจรจา หรือจะทำสงครามแต่รัฐบาลโอบามาได้พยายามยกระดับความตึงเครียด... และยังขยายการซ้อมรบไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมาในคาบสมุทรเกาหลี เพื่อให้สถานการณ์ตึงเครียดเพื่อจะขายอาวุธให้กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั่นแหละ...”
ผมถามว่าเกาหลีเหนือจะถึงวันล่มสลายอย่างที่หลายสำนักวิเคราะห์หรือไม่?
คำตอบจากคุณโอวมาเร็วและแรง
“ไม่มีวัน ไม่มีทางที่เราจะล่มสลาย คุณก็เห็นแล้วว่าประชาชนของเรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวมุ่งมั่นต่อผู้นำของเรา เราก็เหมือนครอบครัว เราเคารพผู้นำเหมือนเราเคารพพ่อแม่ นโยบายของท่านผู้นำก็เพื่อประชาชน หากเราตามผู้นำ ประเทศก็จะเจริญก้าวหน้าและมีชีวิตที่ดี...”
คำตอบของคุณโอวไม่ใช่การวิเคราะห์ตามเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจหรือความมั่นคง แต่เป็นแนวทางที่คนเกาหลีเหนือทุกคนต้องพูดอย่างนี้
เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย...อะไรทำนองนั้น
เรามีคำถามมากมาย เราได้คำตอบเฉพาะที่เขาพร้อมจะตอบ เราจึงต้องตั้งคำถามต่อไปแม้หลังจากออกจากเกาหลีเหนือ
เพราะที่แฝงอยู่ในคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบนั้น ก็ยังประกอบด้วยคำตอบที่เป็นคำถามอีกมากมายหลายด้าน
ถ้าเขาอยากให้เราเข้าใจเขา เขาต้องพยายามทำความเข้าใจกับคำถามของเราให้ลุ่มลึกกว่านี้
วันนี้เขาไม่ตอบ พรุ่งนี้เขาก็ต้องตอบอยู่ดี เพราะมะรืนนี้เราก็ยังจะต้องตั้งคำถามชุดเดิมนี้ต่อไป!
โปรดติดตามเนื้อหา สีหน้าอารมณ์และท่าทีของการตอบคำถามเหล่านี้ได้ใน “ไทม์ไลน์สุทธิชัย หยุ่น” 22.30 น. คืนพรุ่งนี้ (วันอาทิตย์) หนึ่งชั่วโมงเต็มอิ่ม!







