“Wolf Work” Co-working space สายพันธุ์หมาป่า

“Wolf Work” Co-working space สายพันธุ์หมาป่า

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปจากอดีต รวมถึงรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปด้วย

การมีสถานที่ทำงานที่สบายเหมือนทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา พร้อมอุปกรณ์ทำงานครบครัน คงเป็นความฝันของใครหลายคน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของสถานที่ ซึ่งเราเรียกว่า Co-working space ที่เข้ามาสนับสนุนการมองหาไอเดียใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานของคนทำงานยุคนี้

กรณีศึกษาที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เป็นธุรกิจ Co-working space น้องใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็มีรูปแบบที่น่าสนใจ ด้วยนิยามการทำงานแบบ “หมาป่า” ที่ต้องออกล่า แต่ก็มี Sense of community จึงเป็นที่มาของ Wolf Work” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานี BTS สุรศักดิ์ และใกล้ย่านธุรกิจอย่างสีลมและสาทร

Wolf Work เป็น Co-working space ดำเนินการโดยสองสามีภรรยา ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการโฆษณามากว่า 20 ปี อย่าง “คุณเจียวและคุณนิค” ทั้งสองได้ร่วมกันพลิกโฉมของอาคารพาณิชย์เก่า 5 ชั้น ที่ครอบครัวมีอยู่เดิม โดยใช้เงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท มาเป็น Co-working space ชิคๆ

โดยภายในประกอบไปด้วย ห้องประชุม พื้นที่ทำงาน ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ให้รองรับการจัดงานสัมมนาได้หลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงอุปกรณ์สำนักงานที่มีให้บริการอย่างครบครัน นอกจากนี้ยังมีห้องอเนกประสงค์ที่ชั้น 1 ซึ่งมีกาแฟและของว่างไว้คอยบริการอีกด้วย เพื่อให้ผู้ใช้บริการ ได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน

Wolf Work Co-working space จับลูกค้าในกลุ่ม Digital Nomad เป็นหลัก ซึ่งคือกลุ่มคนที่เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ และทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อส่งผลงานกลับไปยังออฟฟิศ ซึ่งอยู่ในที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยลูกค้ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ที่มาจากหลากหลายแห่งทั่วทุกมุมโลก ทั้ง ยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย เป็นต้น

แม้ Wolf Work เป็น Co-working space ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่กลับได้รับความสนใจจากกลุ่ม Digital Nomad ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างมาก โดยรับรู้ข่าวสารจาก เว็บไซต์ www.nomadlist.com และได้เข้ามาทดลองมาใช้บริการ ซึ่งผลตอบรับจากผู้ใช้บริการค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ จากพื้นที่ทำงานที่ทันสมัย สวยงาม และแม้จะอยู่ในอาคารพาณิชย์ แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด คับแคบ ด้วยวิวที่เปิดโล่งทั้งสองฝั่ง ไม่มีตึกบัง ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกผ่อนคลาย เพื่อความพร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ได้อย่างดียิ่ง

ด้วยประสบการณ์การทำงานในสายโฆษณา และประกอบธุรกิจส่วนตัว คุณเจียวและคุณนิค มองว่า การเริ่มต้นทำธุรกิจนั้น หากมีเงินทุนหรือโอกาส ทุกคนก็สามารถเริ่มทำธุรกิจที่สนใจได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่า การจะบริหารให้อยู่รอดได้อย่างมั่นคงนั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการบริหารต้นทุน บริหารเงิน ตลอดจนปัจจัยภายนอกอย่าง สภาพเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางการเมือง เป็นต้น ที่อาจส่งผลต่อธุรกิจนั้นๆ ได้ สำหรับ ธุรกิจ Co-working space นั้น ทั้งสองท่านมีข้อแนะนำว่า หัวใจของการทำให้สำเร็จและอยู่รอด ต้องประกอบด้วย Location โดยควรเป็นทำเลที่มีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น เป็นทำเลที่เหมาะสม อยู่ใกล้กลุ่มลูกค้าหลัก เป็นต้น

เรื่องของ ต้นทุน (Cost) แน่นอนว่า ทำเล ที่เหมาะสมย่อมมีค่าเช่าที่สูงตามไปด้วย ซึ่งค่าเช่านับเป็นต้นทุนหลักของ Co-working space ผู้ประกอบการจึงควรมองถึงความคุ้มทุน โดยหากผู้ประกอบการมีพื้นที่เป็นของตัวเอง จะช่วยลดความเสี่ยงและความตึงเครียดของการบริหารด้านการเงินได้มาก หรือมองทำเลที่เป็นไปได้ แต่มีต้นทุนที่ไม่สูงนัก เพราะ ธุรกิจ Co-working space นั้นอาจไม่ใช่ธุรกิจที่ทำกำไรหวือหวา แต่บริหารงานง่าย และมีปัญหาน้อยกว่าหลายๆ ธุรกิจ ที่สำคัญมีแนวโน้มอยู่ได้ในระยะยาวด้วย หากสามารถบริหารงานได้อย่างเหมาะสม

ต่อมาคือ ชุมชน (Community) อย่างที่ทราบว่า Co-working space ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นที่ทำงานเท่านั้น แต่หัวใจหรือ เสน่ห์ของ Co-working space ก็คือ Community หรือ การมีปฏิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ ระหว่างผู้ใช้งานกับผู้ใช้งาน ที่นี่จึงต้องเป็นให้ได้มากกว่าแค่พื้นที่ทำงานของคนที่ไม่รู้จักกันมาทำงานร่วมกันเท่านั้น

การเติบโตของฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ และการเข้ามาของ Digital Nomad  ทำให้ตลาดของ Co-working space มีแนวโน้มเติบโตอีกมากในอนาคต และแม้ Wolf Work จะเป็น Co-working space หน้าใหม่ แต่ด้วยบรรยากาศ ทำเล และแนวคิดของผู้บริหาร ที่แม้จะหน้าใหม่ในวงการ Co-working space แต่ด้วยความเก๋าและประสบการณ์ ทำให้ Wolf Work เป็นอีกหนึ่ง Co-working space ที่มีความร้อนแรงและน่าจับตายิ่ง ในวันนี้

(เครดิต : จากการศึกษาของ คุณสมจิตาม แจ่มใส นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล)