เด็กคือสิ่งมีชีวิตที่บอบบางและอ่อนไหว

เด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กนั้นบอบบาง ไม่ต่างจากแก้วที่แตกหักได้ง่าย ที่กล่องบรรจุจะมีป้ายกำกับเตือนว่า
“ระวังของแตกหัก” เราควรทำป้ายหรือพิมพ์ข้อความนี้ที่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเสื้อเด็กทุกคนว่า“โปรดระวัง ชีวิตที่บอบบางและอ่อนไหว!”
คนที่มีลูกมีหลานต่างรู้ดีว่า เด็กแต่ละคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าทนุถนอมมากเพียงใด แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ใหญ่ไทยโดยทั่วไปยังไม่มีองค์ความรู้ที่จะระมัดระวังดูแลเอาใจใส่เด็กที่ดีมากพอ ทั้งเรื่องความปลอดภัยทางร่างกายของพวกเขา และเรื่องที่สำคัญที่ถูกละเลยมากคือ คำพูดและการกระทำของผู้ใหญ่ที่มีผลกระทบทางลบต่อการพัฒนาทางจิตใจ บุคลิก อารมณ์ สติปัญญาของเด็กมาก
เด็กเป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบาง เพราะว่าร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ ของเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ จำเป็นที่จะต้องได้รับความคุ้มครองดูแลจากพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ใหญ่โดยทั่วไป ให้พ้นจากอันตราย จากอุบัติภัย จากความหิวโหย ความป่วยไข้ สถาพอันไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทั้งต่อร่างกายและความคิดจิตใจ
พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจอยู่ในสภาพที่มีปัญหาเศรษฐกิจหรือต้องทำงานหาเลี้ยงชีพมากเสียจนไม่มีเวลา ไม่มีกำลังทรัพย์ ไม่มีกำลังกายหรือกำลังใจที่จะเรียนรู้ดูแลลูกให้ดีเพียงพอ ชุมชน/สังคมมีหน้าที่ต้องช่วยกันดูแลเด็กทั้งหมดด้วย เพราะพวกเขาคืออนาคต คือความอยู่รอดของชนเผ่าไทยหรือสังคมไทย รัฐบาลและภาคสังคมประชามีหน้าที่ป้องกันภัย ให้สวัสดิการ และส่งเสริมพัฒนาเด็กทั้งประเทศมากกว่าที่ทำอยู่หลายเท่าจริงจัง
เด็กของเราต้องเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งจากอุบัติภัยต่างๆ การขาดสารอาหารที่มีคุณค่า การขาดความรู้และการบริการทางด้านสาธารณสุขที่ดีพอ เราควรเขียนในรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐมีภาระหน้าที่ต้องพิทักษ์และส่งเสริมสิทธิและโอกาสของเด็กอย่างถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติจริง (มีกฎหมายลูกสนับสนุน) และประชาชนสามารถตรวจสอบฟ้องรัฐบาลที่ไม่ทำตามรัฐธรรมนูญหรือประชาชนเข้าชื่อเรียกร้องศาลรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้
เด็กเป็นสิ่งอ่อนไหว การปฏิบัติต่อและคำพูด การแสดงออกของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครู คนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางด้านจิตใจ ด้านบุคลิก อารมณ์ ตลอดจนสติปัญญาของเด็ก ทั้งในแง่บวกและลบ ปัญหาคือมีการกระทำแง่ลบอยู่มาก โดยผู้ใหญ่ที่ขาดความรู้ความเข้าใจและความเอาใจใส่ เช่น พ่อแม่ถกเถียงทะเลาะกันต่อหน้าเด็ก ดุว่าหรือลงโทษเด็กโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล หรือพูดในทางลบถึงเด็กต่อหน้าคนอื่นๆ พูดจาแสดงท่าทางต่างๆ ที่ทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี ปล่อยให้เด็กดูรายการทางโทรทัศน์ที่รุนแรงก้าวร้าว น่าเกลียดน่ากลัว
เด็กนั้นทั้งสมองเรียนรู้ได้เร็วและอ่อนไหว รับรู้อะไรได้มากและคิดมากกว่าที่ผู้ใหญ่มักจะเข้าใจกัน ผู้ใหญ่คิดว่าเด็กไม่ค่อยจะรู้อะไร สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดกันหรือทำกันจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เด็กนั้นรู้สึกได้เร็ว และเข้าใจผิดได้ง่าย เพราะเขายังอ่อนเยาว์ บางอย่างพวกเขาเก็บกดสะสมเอาไว้ ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กอยู่น่าจะต้องตั้งใจใช้ความสังเกตปฏิกิริยาของเด็กมากขึ้น หาความรู้เรื่องจิตวิทยาพัฒนาการของเด็กมากขึ้น และระมัดระวังทั้งการกระทำและคำพูดกับเด็กให้มากขึ้น
การระมัดระวังไม่ได้แปลว่าเราจะเกรงใจแบบสุดโต่งเสียจนไม่กล้าดุ ไม่กล้าฝึกลูก ให้รู้จักรับผิดชอบและมีวินัย การที่พ่อแม่ดุ ปฏิเสธไม่เห็นด้วยหรือลงโทษเท่าที่จำเป็น เป็นส่วนหนึ่งของการสอนเด็กเรื่องวินัยความรับผิดชอบ ที่เด็กควรได้จะต้องเรียนรู้ เพียงแต่ผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้จิตวิทยาเด็ก หาวิธีดุ วิธีลงโทษ วิธีปฏิเสธที่สร้างสรรค์ เหมาะสม, เป็นไปในแนวทางบวก เพื่อให้เด็กเรียนรู้ในทางบวกได้โดยเข้าใจว่าพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู ทำด้วยความรักและความหวังดีต่อเขา หลีกเลี่ยงการทำให้เด็กรู้สึกว่าผู้ใหญ่ทำเช่นนั้น เพราะไม่รักเขาหรือรักคนอื่นมากกว่า หรือเพราะผู้ใหญ่ต้องการระบายอารมณ์ส่วนตัวเพื่อแก้เผ็ดเขา (ผู้ใหญ่ที่ไม่มีวุฒิภาวะมากพอก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย)
การเลี้ยงลูกแบบแล้วแต่อารมณ์พ่อแม่เป็นตัวสร้างปัญหาให้เด็ก การดุเด็ก ใช้อารมณ์กับเด็กมากเกินไปเป็นผลเสียต่อการพัฒนาการด้านจิตใจของเด็กไปจนถึงโต การโอ๋เด็กเอาใจเด็กมากเกินไปอย่างไม่สมเหตุสม ผลก็เป็นผลเสียในอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ผู้ใหญ่ไทยเองที่มีปัญหาด้านอารมณ์ ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากชีวิตวัยเด็กที่ไม่ได้รับความสุข ความอบอุ่น ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอบรมที่สร้างสรรค์ ที่จะช่วยให้เด็กเติบโตโดยมีพัฒนาการด้านสติปัญญา อารมณ์ที่ดีเพียงพอ
ผู้ใหญ่ไทยจำนวนมากมีปัญหาทางบุคลิกจิตใจ เช่น การไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์เพียงพอ การเก็บกด ความเจ้าอารมณ์มากเกินไป การหลงตัว การริษยาผู้อื่น การมีปมด้อย การไม่อดทน ไม่รู้จักรัก หรือเมตตาต่อคนอื่น ผู้ใหญ่ที่มีปัญหามักจะเลี้ยงลูกแบบที่พ่อแม่พวกเขาเคยทำและทำให้พวกเขาเติบโตอย่างมีปัญหามาแล้ว ยกเว้นคนที่รู้จักเตือน วิจารณ์ตนเอง และพยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเอง หาวิธีเลี้ยงลูกที่ดีขึ้นกว่าวิธีที่พ่อแม่ใช้เลี้ยงตัวเองมา
นี่คือเรื่องสำคัญที่รัฐบาลรวมทั้งคนทั่วไปผู้มักสนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ได้เข้าใจและไม่ได้สนใจศึกษา เราต้องปฏิรูปการศึกษาของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู ให้มีความรู้เรื่องจิตวิทยาเด็กและเยาวชนมากขึ้น ส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือ คิดวิเคราะห์ หาทางแก้ปัญหาโดยใช้หลักความรู้เพิ่มขึ้น ส่งเสริมกระตุ้นให้สมองของเด็กได้เรียนรู้อย่างเหมาะสม สร้างโอกาสให้เด็กได้อ่านหนังสือบันเทิงคดี มีความสุขความเพลิดเพลินในการอ่าน ช่วยให้เด็กไทยรักการอ่าน และเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น พัฒนาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น
ผู้ใหญ่ที่กำลังดูแลเด็กอยู่ ควรเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ปัญหาทางจิตวิทยาของตัวเอง หลีกเลี่ยงที่จะทำสิ่งที่เราเคยรู้สึกไม่ชอบ ที่พ่อแม่ ผู้ใหญ่เคยทำกับเราตอนเราเป็นเด็ก และระมัดระวังที่จะไม่สร้างปัญหาให้ลูกหลานของเราเรียนรู้วิธีที่จะเลี้ยงลูกให้ดีขึ้น เพื่อที่เราจะได้ช่วยกันทำให้เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น สมองเรียนรู้ได้ดีขึ้น สามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีสุขภาพจิตดีขึ้นเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบ มีวุฒิภาวะ ช่วยกันสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ และมีสันติสุขเพิ่มขึ้น







