เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์จริงหรือ?

เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์จริงหรือ?

เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ (มาจากภาษาละตินว่า Vox Populi Vox Dei) ได้รับการยอมรับมาช้านานแล้ว

ในโลกประชาธิปไตยตะวันตก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาของโสกราตีสและเพลโตแห่งยุคกรีกโบราณ และเป็นมรดกทางความคิดตกทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากปรัชญาแนวคิดทางการเมืองของท่านทั้งสองมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของโลกประชาธิปไตยตะวันตกเป็นอย่างยิ่ง

นักปราชญ์ทั้งสองท่านกล่าวถึงนักบริหาร นักปกครองหรือนักการเมืองว่าต้องเป็นคนดี มีความรู้ มีจริยธรรมและคุณธรรม ผู้ปกครองแม้จะมีสติปัญญาสูงส่งเพียงใดก็ให้ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เป็นคนแข็งกระด้างอวดตัวว่ามีความรู้สูงกว่าผู้อื่น หากจะแข็งก็ให้แข็งดั่งเพชร เพราะตัดกระจกได้ หากจะอ่อนก็ให้อ่อนดุจเส้นไหม เพราะมัดสิงโตได้ ถึงคราวตึงก็ควรตึง ถึงคราวหย่อนก็ควรหย่อน วางตัวพอเหมาะพอดี เดินสายกลาง เพราะถ้าแข็งเกินไปก็ก่อเวร อ่อนเกินไปก็ถูกเขาดูหมิ่น นักปกครองต้องฉลาดและยุติธรรม ต้องมีความเสียสละ บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อยู่ในปกครองอย่างแท้จริง ต้องเห็นแก่ประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ความสุขของนักปกครองนั้นคือ เมื่อเห็นประชาชนพ้นจากความทุกข์ยาก นักปกครองต้องอุทิศชีวิตให้แก่ประชาชน ไม่ลืมประชาชน เพราะเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์

จะเห็นได้ว่า ปรัชญาแนวคิดทางการเมืองของกรีกโบราณคือบ่อเกิดแห่งภูมิปัญญาตะวันตกอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หลักว่าด้วยการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย หลักนิติรัฐ หลักความเสมอภาค ภราดรภาพ หลักปัจเจกชนนิยม แม้ว่าจะมีบางอย่างไม่เหมือนกันเสียทีเดียวกับหลักการที่เรารู้จักกันในปัจจุบันก็ตาม แต่หลักการดังกล่าวล้วนแล้วแต่มีผลต่อการพัฒนากฎหมายและสังคมของโลกตะวันตกเป็นอย่างยิ่ง

หลักการที่สำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งมีที่มาจากอารยธรรมกรีกโบราณและได้มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของโลกประชาธิปไตยตะวันตก ก็คือ หลักการออกเสียงประชามติ ซึ่งยังคงมีการปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เห็นได้จากจำนวนการออกเสียงประชามติที่มีขึ้นในโลกรวมกว่า 800 ครั้ง นับแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมานั้น กว่า 400 ครั้งถูกจัดขึ้นในประเทศนี้ นอกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้วยังมีประเทศอิตาลี และบางมลรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จัดขึ้นบ่อยเช่นกัน ในสวิตเซอร์แลนด์

การออกเสียงประชามติที่ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศก็คือ การออกเสียงประชามติในปี 1902 เกี่ยวกับการแยกออกจากกันระหว่างศาสนากับรัฐ ซึ่งผลปรากฏว่าประชาชนชาวสวิสปฏิเสธการแยกออกจากกันระหว่าง 2 สถาบัน อย่างไรก็ตาม ในอีก 78 ปีต่อมา คือในปี 1980 ได้มีการจัดทำประชามติในหัวข้อเดิมอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าประชาชนยังคงปฏิเสธที่จะให้แยกศาสนาออกจากรัฐเช่นกัน ทำให้ปัจจุบันอารัมภบทของรัฐธรรมนูญสวิสต้องเริ่มต้นโดยการกล่าวนามของพระผู้เป็นเจ้า ศาสนา และรัฐ นั่นหมายความทั้งสามสิ่งจะต้องไม่แยกออกจากกัน

ปัจจุบัน บทบัญญัติรัฐธรรมนูญของสมาพันธรัฐมีบังคับว่า ร่างแก้ไขหรือเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติเท่านั้น ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการออกเสียงประชามติมักจะเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การลงประชามตินี้ยังถูกนำไปใช้กับร่างกฎหมายธรรมดาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษอีกด้วย

นอกจากตัวอย่างที่ยกมาในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว การออกเสียงประชามติในเรื่องที่สำคัญซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อสังคมและการเมืองของประเทศยังเคยเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศตะวันตก เช่น การออกเสียงประชามติที่จัดขึ้นในประเทศอีตาลีในปี 1946 เกี่ยวกับการยกเลิกสถาบันกษัตริย์ ซึ่งประชาชนชาวอิตาเลียนต้องลงคะแนนออกเสียงว่าจะเลือกเอาระหว่างระบอบกษัตริย์กับการปกครองระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งในครั้งนั้นประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงส่วนใหญ่ (จำนวน 12.7 ล้านคน ต่อ 10.7 ล้านคน) ตัดสินใจเลือกระบอบสาธารณรัฐ ยังผลให้กษัตริย์พระองค์สุดท้าย คือ กษัตริย์ฮุมเบอร์ตที่ 2 (Humbert II) ต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศโปรตุเกส

ในประเทศเบลเยียมก็เช่นกัน มีการจัดทำประชามติในปี 1950 เพื่อตัดสินว่าควรมีการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์หรือไม่ ผลของการประชามติปรากฏว่าประชาชนชาวเบลเยียมผู้มีสิทธิออกเสียงเกือบร้อยละ 60 เห็นด้วยกับการมีกษัตริย์ ส่งผลให้กษัตริย์เลียวพอลที่ 3 (Loepold III) กลับมาครองบัลลังก์อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 22 กรกฎาคมปีเดียวกัน และทำให้ประเทศเบลเยียมเป็นราชอาณาจักรมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากกรณีที่กล่าวมาแล้ว ยังมีประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศในยุโรปที่ใช้วิธีการให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือเพื่อตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่างๆ เช่น การลงประชามติในประเทศฝรั่งเศสในปี 1962 เพื่อออกเสียงว่าจะใช้วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงหรือไม่ หรือกรณีที่คงยังอยู่ในความทรงจำของคนไทยโดยทั่วไป ก็คือการออกเสียงประชามติที่จัดขึ้นในสก็อตแลนด์ เพื่อให้ประชาชนชาวสก็อตตัดสินใจว่าจะยังคงอยู่รวมกับสหราชอาณาจักรหรือแยกเป็นเอกราช เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2014 ซึ่งผลแห่งการประชามติดังกล่าวนั้นก็เป็นที่รับทราบกันทั่วไปอยู่แล้ว

ข้อที่น่าสนใจคือ ในประเทศที่เป็นเสรีประชาธิปไตยนั้น การออกเสียงประชามติถือเป็นวิธีการหาข้อยุติในเรื่องสำคัญๆ ของประเทศ เป็นการจัดการกับประเด็นที่เป็นความขัดแย้งในสังคมให้สามารถหาข้อสรุปได้ด้วยวิถีทางที่เป็นอารยะ สมกับที่กล่าวว่าเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ ส่วนในประเทศไทยซึ่งกำลังจะมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเวลาอันใกล้นี้ เสียงประชาชนจะเป็นเสียงสวรรค์หรือไม่ เราคงต้องติดตามดูกันต่อไป

---------------------

ดร. มานพ พรหมชนะ

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์