ทีมเล็กๆ...ที่สร้างประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่!

ทีมเลสเตอร์ แชมป์พรีเมียร์ลีก ของฟุตบอลอังกฤษ ที่เป็นแชมป์ก่อนจบฤดูกาล 2 นัด ทั้งๆ ที่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เกือบจะตกชั้นอยู่แล้ว
กรณีศึกษาที่ทำให้ทีมทีมเลสเตอร์ ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ นับว่าเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ไม่ใช่เฉพาะแวดวงกีฬาเท่านั้น แต่แวดวงการบริหารองค์กร และทีมงาน ก็น่าเรียนรู้และนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน
เรามาเริ่มกันที่..ปัจจัยภายนอกกันก่อน ก็คือ ตัวเต็ง คู่แข่งที่เป็นขาใหญ่พร้อมใจกันสะดุด!
ทีมแชมป์เก่าอย่างทีม เชลซี ผลงานตกต่ำอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด มีปัญหา จนต้องเปลี่ยนยอดผู้จัดการที่นับได้ว่าเป็น 1 ในผู้จัดการที่เก่งที่สุดอย่าง โชเซ่ มูริญโญ่ เพราะในทีมมีปัญหากันระหว่าง ผู้จัดการกับนักเตะ จนเหมือนกับเป็นการเตะไล่ผู้จัดการ!
ส่วนแมนซิตี้ 1 ในตัวเต็งแชมป์ ก็ฟอร์มสะดุดเป็นระยะ ทีมอาร์เซน่อลก็กลายเป็นทีมลุ้นแค่ อันดับ 3 กับ 4 ทุกปี ไม่ต้องพูดถึง อดีตยอดทีมอย่าง แมนยูที่ผีเข้าผีออกเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ มีแค่สเปอร์ ที่กลายมาเป็นทีมลุ้นแชมป์แทน..
ปัจจัยภายนอก..เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้...แต่เรา "สามารถฉกฉวยโอกาส ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกได้!" นั่นคือสิ่งที่ทีมเลสเตอร์ ไม่พลาดกับโอกาสทองและฉกฉวยโอกาสนี้ ก้มหน้าก้มตาสร้างผลงานอย่างสม่ำเสมอ! ต่อให้ปัจจัยภายนอกเอื้ออำนวย...แต่ถ้าปัจจัยภายในไม่พร้อม ก็เปล่าประโยชน์!
แล้วอะไรคือปัจจัยภายในที่ทำให้ทีมเลสเตอร์ประสบความสำเร็จ?
ผมแบ่งปัจจัยภายในที่ทำให้ทีมเลสเตอร์ประสบความสำเร็จเป็น 3 ประเด็นหลักๆ..
ประเด็นแรก..เจ้าของทีมเลสเตอร์!
น่าภูมิใจครับ ที่เจ้าของทีมเลสเตอร์ คือ คนไทย เป็นเจ้าพ่อคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี คุณ วิชัย ศรีวัฒนประภา ที่มีทรัพย์สินราว 100,000 ล้านบาท ได้เทค โอเวอร์ ทีมเลสเตอร์ เมื่อปี 2010 ในขณะที่ทีมยังอยู่ในระดับแชมเปี้ยนชิพ ยังไม่ได้เลื่อนขึ้นมาระดับพรีเมียร์ลีก
คุณวิชัย มอบหมายให้ คุณต๊อบ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ซึ่งเป็นลูกชาย(แต่เป็นแฟนแมนยู) เป็นผู้บริหารทีม บริหารสไตล์ไทยๆ แบบมีน้ำใจแต่ไม่ล้วงลูก! มิหนำซ้ำยังปรับปรุงรากฐานของทีมตั้งแต่พื้นสนามซ้อมที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่รากฐานให้แข็งแกร่ง
ประเด็นที่สอง... ผู้จัดการทีมและสตาฟโค้ช
ผู้จัดการทีมที่พาทีมเลสเตอร์ ขึ้นจากระดับแชมเปี้ยนชิพ มาสู่พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้วคือ ไนเจล เพียร์สัน และพาให้ทีมรอดตกชั้นอย่างหวุดหวิด.. แต่ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง ในฤดูกาลนี้ได้ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ที่เคยคุมทีมเชลซี และหลายทีมในยุโรปแต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรได้แค่แชมป์บอลถ้วยเท่านั้นในลีกอื่น และล่าสุดเพิ่งคุมทีมชาติกรีก ตกรอบไม่ได้เข้าร่วมบอลยูโรที่จะเตะกันในเดือนหน้านี้ จนถูกไล่ออกมาจนมาคุมทีมเลสเตอร์!
สิ่งที่รานิเอรี่ ทำ ไม่ได้มีอะไรพิสดาร หนำซ้ำยังเรียบง่าย น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือปฏิวัติทีมอะไร..แต่เข้ามารักษาส่วนที่ดี ต่อยอดจุดแข็ง (เล่นเกมรับแล้วโต้กลับเร็ว เล่นบอลสนุก) แก้ไขจุดอ่อน (เดิมเสียประตูง่าย มากำหนดแท็กติกป้องกัน ไล่บอลตั้งแต่แดนหน้า แพ็คเกมรับให้แน่น จนกลายเป็นทีมที่เสียประตูยาก) และสร้างทีมสปิริตให้แข็งแกร่ง! ไม่เคยกดดันนักเตะ ตั้งเป้าหมายต่ำๆที่เป็นไปได้..และไปทีละขั้น!
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ...นักเตะในทีมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รานิเอลี่ เป็นคนมีอารมณ์ขัน มีมุขตลกมาคุยให้นักเตะฟังบ่อยๆ ไม่มีความเคร่งเครียดดุดัน...
ส่วน รานิเอรี่ เองก็ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคุณ วิชัย เจ้าของทีมเลสเตอร์ เป็นคนที่ไม่เคยทำให้บรรยากาศเสีย มีแต่ช่วยทำให้บรรยากาศดี ไม่มีกดดัน คุยกันทีไรมีแต่เรื่อวสบายใจ ส่งผลให้ตัว รานิเอลี่เอง ก็ไปสร้างบรรยากาศของทีมได้อย่างสบายใจเช่นเดียวกัน!
นอกจากนั้นทีมสตาฟโค้ช ที่ช่วยในเรื่องวิทยาศาตร์การกีฬาทั้งกายภาพและจิตใจ ก็เป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญที่ทำให้นักเตะของเลสเตอร์ ไม่ค่อยมีอาการบาดเจ็บมากเท่ากับทีมอื่นๆ
ประเด็นที่สาม...ทีมนักเตะ
ตัวหลักๆ ของทีมยังคงอยู่ แต่เสริมนักเตะใหม่ เช่น ริยาด มาห์เรซ เข้ามาที่เล่นได้โดดเด่นจนได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ และได้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ก็เล่นได้โดดเด่นเช่นเดียวกัน รวมทั้งฟอร์มการเล่นของ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ฤดูกาลที่แล้ว ถูกจำกัดบทบาทในแนวรุกยิงไม่ค่อยได้ มาฤดูกาลนี้ รานิเอลี่ ให้อิสระในการเล่น จนยิงประตูเป็นว่าเล่นและถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติอังกฤษ
ส่วนนักเตะที่เหลือ ถ้าแยกเป็นรายตัวก็ไม่มีอะไรโดดเด่น เทียบกับทีมชั้นนำทีมอื่นๆ ไม่ได้เลย..แต่เมื่อมารวมเป็นทีม กลับกลายเป็นทีมเวิร์ค ที่เล่นกันอย่างทุ่มเท เหมือนกับแต่ละนัดเป็นนัดสุดท้ายของชีวิต!
ถ้าจะสรุปง่ายๆ ว่า ความสำเร็จของทีมเลสเตอร์ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก คือ ทีมใหญ่ทีมเต็งทั้งหลายพากันเซพากันสะดุดเป็นระยะ..แล้วเลสเตอร์ก็ฉกฉวยโอกาสอันนี้ไว้..
ประกอบกับปัจจัยภายใน ตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุด เจ้าของทีมทั้งสองพ่อลูก บริหารด้วยสไตล์ไทยๆ (แฝงความเชื่อทางพุทธ มีนิมนต์พระไปเสริมสร้างแรงใจตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว) ไม่สร้างบรรยากาศกดดันผู้จัดการและนักเตะ แถมยังให้การสนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้ทีมพัฒนาศักยภาพเพิ่มยิ่งขึ้น (ฤดูกาลนี้ได้แชมป์ แต่ที่น่าสนใจคือ...ไม่ได้ตั้งเป้าว่าฤดูกาลหน้าต้องรักษาแชมป์ แค่ติด 1 ใน 10 ในฤดูกาลหน้าก็พอใจแล้ว!)
ส่วน รานิเอรี่ ผู้จัดการทีมก็บริหารด้วยสไตล์ที่ไม่เคร่งเครียด สร้างบรรยากาศ สร้างทีมสปิริตของทีม ใช้แท็คติคและแผนการเล่นที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ (รับแล้วโต้กลับเร็ว)!
ส่วนนักเตะก็ทุ่มเท เล่นกันเป็นทีม สนับสนุนคอยช่วยเหลือกัน ไม่มีชิงดีชิงเด่น มีแต่ส่งเสริมกัน...
ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้นำองค์กรหรือทีมงานในธุรกิจใด..อย่างน้อยก็น่าจะพอมองเห็นแล้วนะครับว่า.. มีปัจจัยหลักที่น่าสนใจของการบริหารทีมฟุตบอลเลสเตอร์ ที่น่าจะนำมาปรับใช้กับทีมของท่านได้ไม่มากก็น้อย ลองดูนะครับ!




