เมื่อจระเข้ในแยงซีเกียงบุกถิ่นเจ้าพระยา

เมื่อจระเข้ในแยงซีเกียงบุกถิ่นเจ้าพระยา

ครั้งหนึ่งหลายปีที่แล้ว เมื่อยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน “อีเบย์” บุกตลาดไปยังประเทศจีน!

"แจ็คหม่า" ประกาศอย่างสุดเท่ กึกก้องว่า ไม่กลัวยักษ์ใหญ่รายนี้หรอก! 

            หากเปรียบเทียบแล้วอีเบย์ก็คงเสมือนกับฉลามดุร้ายในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่  แต่ที่นี่แผ่นดินจีน“อาลีบาบา” เปรียบเสมือนจระเข้ในแยงซีเกียง อีเบย์จะไม่สามารถต่อสู้พวกเขาได้อย่างแน่นอน            

ที่มันเท่แบบสุดๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี อีเบย์ก็หอบเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า บินกลับประเทศแทบไม่ทัน เพราะไม่สามารถแข่งขันกับ อาลีบาบา ดังที่แจ็คหม่าประกาศไว้จริงๆ!            

ณ เวลานี้ "จระเข้แห่งแยงซีเกียง"รายนี้  ไม่ได้ยิ่งใหญ่แค่ในจีนเท่านั้น แต่กำลังรุกคืบเข้ามาในแถบอาเซียนของพวกเรา แถมไม่ได้ว่ายน้ำเข้ามาแบบธรรมดา  แต่เป็น“บินมา” แบบเหนือเมฆ  โดยการเข้าซื้อบริษัท Lazada บริษัท E-commerce ที่พวกเราคนไทยรู้จักกันดี  ส่งผลให้อาลีบาบา ขึ้นแท่นเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งในไทยแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวดเร็วทันใจ แค่เติมน้ำร้อน ก็กินได้เลยจ้า!            

สิ่งที่น่าสนใจมากๆ คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หลังจากที่จระเข้ตัวนี้เข้ามาบุกยึดพื้นที่อีคอมเมิร์ซบ้านเราเรียบร้อยแล้ว

อย่างที่รู้กันว่าอีคอมเมิร์ซบ้านเราเติบโตแบบก้าวกระโดดสุดๆ หลักจากที่ Lazada เข้ามารุกตลาด โดยใช้กลยุทธ์สุดคลาสสิค นั่นคือการ “ทุ่มตลาด” ลด แลก แจก แถม จนถึงขนาดยอมขายสินค้าราคาต่ำกว่าทุน!  หลายคนอาจจะงงว่า Lazada ทำแบบนี้ทำไม  คำตอบทั้งหมดได้เฉลยออกมาแล้วครับ  ที่ Lazada ทำไปนั้น ก็เพื่อให้แบรนด์ของตนขึ้นเป็นแบรนด์อีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งให้เร็วที่สุด เพื่อจะขายธุรกิจออกไปให้เร็วที่สุด โดยทำกำไรจากการขายธุรกิจให้มากที่สุดนั่นเอง (Lazada เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัท Rooket Internet  ที่เน้นการสร้างธุรกิจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อขายต่อ)            

งานนี้ต้องบอกว่า Lazada เหนือจริงๆ เพราะทำได้ทุกอย่างดังที่ตั้งใจไว้โกยไปพันล้านดอลลาร์            

ดังนั้นตลาดอีคอมเมิร์ซบ้านเรา ถึงแม้จะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ตลาดกลับเป็นตลาดทะเลสีเลือดอีคอมเมิร์ซ เจ้าใหญ่ๆในบ้านเรา ที่หาญต่อสู้กับ Lazada ในช่วงที่ผ่านมา ต่างพากันเจ็บตัวกันแทบทุกคน

ถ้าจะให้วิเคราะห์สถานการณ์ต่อจากนี้แบบ “นั่งเทียนสไตล์โซวบักท้ง” ผมเองมองว่าตลาดบ้านเราจะเริ่มเข้าสู่สภาวะความเป็นจริงแบบค่อยเป็นค่อยไป เชื่อว่าโดยพื้นฐานของธุรกิจแล้วจะอยู่รอดได้ ต้องมีกำไร!  ดังนั้นหลังจากที่อาลีบาบาทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อ Lazada ไปแล้ว อาลีบาบา น่าจะเริ่มคิดถึงการทำกำไรมากขึ้น  โดยคงจะไม่ใช่จู่ๆ ก็ปรับราคาสินค้าขึ้นแบบดื้อๆ ให้ลูกค้าหนีหายตายจาก แต่น่าจะเป็นการลดต้นทุนของตัวเองลงมากกว่า             

อันดับหนึ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงในการลดต้นทุน  คือการกดราคาซัพพลายเออร์ หรือคนที่ส่งสินค้าให้จำหน่าย เท่าที่สอบถาม พ่อค้า แม่ค้า เอสเอ็มอีที่ขายของผ่าน Lazada พบว่า Lazada ส่งยอดขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าไม่ใช่น้อย  โดยพ่อค้าแม่ค้าบางรายมีสัดส่วนการขายผ่าน Lazada มากกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมดที่ตัวเองทำได้  ลักษณะเช่นนี้ค่อนข้างน่ากลัวมาก เพราะ Lazada จะมีอำนาจการต่อรองสูง ถ้าเกิดมาต่อรองในลักษณะว่า  "ถ้าลื้อไม่ยอมลดราคาให้อั้ว อั้วเลิกขายของลื้อน่ะ”  น่าจะมีการหงายท้องไปตามๆกัน

อันดับสองการลดต้นทุนสินค้า โดยการจัดซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ในจีนมาจำหน่ายเอง  ถ้าลองมานั่งไล่สินค้าใน Lazadaเรา จะเจอพ่อค้าแม่ค้าจำนวนไม่น้อยครับ ที่นำเข้าสินค้าจากจีนมาขายผ่าน Lazada อีกต่อหนึ่ง  ทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง ทำกำไรกันแบบง่ายๆ  ซื้อจากจีนมา 100 บาท ขายต่อให้ Lazada 150 บาท  ซึ่งความง่ายนี่เองจะเริ่มกลายเป็นความน่ากลัว  เพราะเมื่อ Lazada มีเจ้าของใหม่ที่ชื่อ อาลีบาบา  ซึ่งรู้ต้นทุนสินค้าเองทั้งหมด แถมยังมีอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่จีนสูงมาก  สามารถซื้อของได้ในราคาต่ำว่าพ่อค้าแม่ค้าสัญชาติไทยแน่นอน  ดังนั้นมีเหตุผลอันใด ที่จะปล่อยให้พ่อค้าแม่ค้าคนกลางลอยนวล ทำกำไรแบบง่ายๆ              

อันดับสามการลงทุนเพิ่มในส่วนของโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการจัดจำหน่ายสินค้า อันนี้แทบจะฟันธงได้ว่าอาลีบาบาน่าจะลงทุนในส่วนนี้เพิ่ม เพราะต้นทุนหลักของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คือต้นทุนการขนส่งสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาดูเหมือนว่า Lazadaจะไม่ค่อยเน้นเรื่องนี้เท่าไหร่ ไม่แน่เหมือนกันอาจจะมีข่าวใหญ่  อาลีบาบา ซื้อบริษัทขนส่งสินค้าชื่อดังในไทยเพิ่มเติมต่อจากนี้อีก

            แต่โดยรวมๆ กลยุทธ์การทุ่มตลาดลด แลก แจก แถม แบบขาดทุนก็ไม่เป็นไร น่าจะค่อยๆลดลง เว้นเสียแต่ว่าจะมี “อริเกเตอร์ไทยในลุ่มน้ำเจ้าพระยา”  หาญเข้าต่อสู้กับ“จระเข้ในแยงซีเกียง”ตัวนี้              

แต่ใครจะกล้าสู้