เสวนากับนักการทูตไทย ว่าด้วย Digital Diplomacy

วันก่อน ผมได้รับเชิญจากกระทรวงต่างประเทศ
ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ 32 ท่าน ถือเป็นโอกาสดีที่จะวิเคราะห์บทบาทของ “นักการทูต” ในยุคศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ของเทคโนโลยีและการเมืองระหว่างประเทศ
ผมเรียกปรากฏการณ์ใหม่นี้ว่า Digital Diplomacy ซึ่งก็คือ Real Time Diplomacy อันหมายถึงการที่นักการทูตของไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับโลก social media ที่มีความสำคัญต่อการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศในทุก ๆ มิติ
ท่านทูตท่านหนึ่งบอกว่า “แต่ก่อน นักการทูตเราถูกสอนให้เป็นนักเจรจา แต่วันนี้เราต้องเป็นนักสื่อสาร”
ผมเล่าให้ท่านทูตและกงสุลใหญ่ฟังว่าผู้นำของโลกท่านใดมี followers ในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คกี่คน และใครใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อดำเนินนโยบายของตนอย่างสอดคล้องกับแนวโน้มใหม่ของโลก
นักการทูตท่านใดไม่รู้จักใช้ social media เพื่อการติดตามข่าวสาร และนำเสนอเรื่องราวของตนเอง และประเทศไทยอย่างฉับพลันทันควัน ก็เท่ากับไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของโลกอันรวดเร็ว
แม้คำว่า press conference หรือการ “แถลงข่าว” ที่เคยเป็นหัวใจของการทูต ในการเชิญผู้สื่อข่าวมารับรู้สิ่งที่นักการทูต และนักการเมืองต้องการบอกกล่าวไปยังประชาชน วันนี้ก็กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว เป็นพิธีกรรมที่ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกต่อไป เพราะนักการทูตสามารถเอาเรื่องราว และเนื้อหาที่ต้องการสื่อกับสาธารณะผ่าน Facebook หรือ Line ของตัวเองได้ตลอดเวลา สื่อสารมวลชนสามารถนำข้อความเหล่านั้นไปนำเสนอต่อ
เพราะนักการทูตวันนี้สามารถสื่อสารตรงถึงผู้บริโภคข่าวสารได้ โดยไม่จำเป็นต้องทำผ่านสื่อกระแสหลักอย่างที่ผ่านมา
แน่นอนว่า social media เป็นดาบสองคม เพราะเป็นทั้งแหล่งข่าวจริงและข่าวลือ ข่าวทางการและข่าวลวงข่าวปล่อย แต่หากไม่ใช้มันอย่างชาญฉลาดก็จะเสียโอกาสอันสำคัญ เพราะใครต่อใครก็มารวมตัวกันอยู่ใน social media เหมือนจัตุรัสกลางเมืองที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
นักการทูตมืออาชีพจะต้องรู้จักแวะเวียนเข้าสู่จัตุรัสกลางเมือง เพื่อสอดส่องตรวจตราหาข้อมูลข่าวสารและรับรู้ความเคลื่อนไหว แต่ไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นหรือหลงเข้าไปในวงจรอันไม่พึงปรารถนา และหากจะยังดำเนิน face-to-face diplomacy หรือ “การทูตตัวต่อตัว” ก็ยังสามารถทำได้ด้วยการเชื้อเชิญ คนที่เราต้องการจะสนทนาสองต่อสอง หลบไปนั่งร้านกาแฟเพื่อเสวนาตามเป้าประสงค์ของเราได้
ขณะเดียวกันต้องไม่สำคัญผิดว่าการใช้ social media จะมาทดแทนเนื้อหาแห่งนโยบายต่างประเทศที่มีคุณภาพ และสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติได้อย่างแท้จริง เพราะหากนโยบายแย่ หรือหากนักการทูตเองไม่สามารถออกแบบแนวทางทางการทูตที่ถูกต้อง ให้น้ำหนักทิศทางใดทางหนึ่งผิดพลาด ไม่ว่าจะใช้ social media มากและบ่อยเพียงใดก็ไม่อาจจะช่วยให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ที่ประชาชนพึงปรารถนาได้แต่อย่างใด
การทูตไทยวันนี้ต้องเผชิญกับคำถาม และโจทย์หลายข้อที่ไม่เคยต้องเจอมาก่อน จึงเป็นหน้าที่ของนักการทูตที่ต้องยึดหลักของการ “พูดความจริง” “คาดการณ์คำถามล่วงหน้า” และ “ให้กระแสธารแห่งข่าวสารและข้อมูลไหลอย่างต่อเนื่อง” ด้วยการสร้าง “ชุมชนออนไลน์” และ “ชุมชนออฟไลน์” พร้อม ๆ กันอย่างไม่ลดละ
จบการสนทนาวันนั้นด้วยการทำ “สมมติสถานการณ์” สัมภาษณ์ท่านทูตหลายท่านเมื่อเจอคำถามจากสื่อในประเทศต่าง ๆ ว่าด้วยประเด็นร้อนในเมืองไทยเช่น
1. การทูตไทยภายใต้ คสช. ต่างกับภายใต้รัฐบาลเลือกตั้งอย่างไร?
2. ที่ประเทศของท่านมี Press censorship หรือไม่?
3. เปรียบเทียบการเมืองพม่ากับการเมืองไทยในมิติบทบาทหารและประชาธิปไตย
ท่านทูตหลายท่านตอบได้น่าสนใจทีเดียวครับ แต่ขอให้เป็น off-the-record คือ “ไม่ปรากฏเป็นหลักฐานบันทึก” ใดๆ ตามหลักสากลแห่งการติดต่อ ระหว่างสื่อกับแหล่งข่าวนักการทูตก็แล้วกันครับ!







