กองทุนน้ำมันไม่ควรทำอะไร?

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อราคาหน้าปั๊ม คู่กันกับภาษีสรรพสามิต ต่างกันที่ภาษีเก็บเข้ารัฐเป็นงบประมาณแผ่นดิน
แต่กองทุน (ควร) เป็นเหมือนกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาของผู้ใช้น้ำมัน
ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันดำเนินการโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรี จึงสมควรตราเป็นพระราชบัญญัติโดยมีการกำหนดวัตถุประสงค์และกรอบการทำงานไว้อย่างชัดเจน แต่ร่าง พ.ร.บ.ของกระทรวงพลังงานซึ่งกำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นทางเว็บไซต์นั้น มีวัตถุประสงค์กว้างเกินควรและไม่เหมาะสมบางประการ
วัตถุประสงค์ที่ 1 “รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง...เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีพของประชาชน ในกรณีเกิดวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง..” อันนี้ควรจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องนิยาม “กรณีวิกฤติ” ให้ชัดเจน เพราะปรกติหมายถึงสถานการณ์ที่คับขันเท่านั้น
การใช้กองทุนฯ มักเกิดขึ้นเมื่อราคาตลาดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะมีการนำเงินจากกองทุนออกมาอุดหนุนราคาขายปลีกเพื่อให้ขึ้นช้าลง โดยเมื่อราคาลดลงก็ต้องมีการเก็บเงินคืนกองทุนเพื่อให้สามารถใช้การได้อีกเมื่อราคาขึ้นรวดเร็วในครั้งต่อไป ดังนั้นผลของการใช้กองทุนฯ คือการเกลี่ยราคาไม่ให้ผันผวนมาก เพื่อให้ประชาชนและอุตสาหกรรมไม่ต้องอยู่กับความผันผวนระดับหนึ่ง และมีเวลาปรับตัวหากราคาจะสูงขึ้นไปมากจริงๆ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่จะเริ่มใช้เงินกองทุนฯคงไม่รอถึงขั้นวิกฤติกระมัง
การใช้กองทุนฯรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงควรเป็นมาตรการชั่วคราว ไม่ควรใช้นานเกินไปและควรจำกัดการใช้ในการตรึงราคา ไม่เช่นนั้นประชาชนจะเกิดความเคยชินทำให้ปรับราคาตามตลาดได้ยาก พ.ร.บ.ควรกำหนดเงินกองทุนขั้นสูงสุดและต่ำสุดแต่ร่างฯ ของกระทรวงพลังงานไม่มีกรอบนี้
การสะสมหนี้กองทุนฯ ถึง 83,000 ล้านบาท ในปี 2548 ทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยกว่า 6,000 ล้านบาท เป็นบทเรียนที่ผู้ใช้น้ำมันก็ต้องจ่ายทั้งดอกทั้งต้นคืนในที่สุด
หากไม่ฝืนกลไกตลาดมากเช่นนั้น เมื่อประชาชนจะต้องจ่ายราคาสูง ก็ย่อมจะปรับตัวให้ประหยัด ใช้แต่ที่จำเป็นจริงๆ ทั้งในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม-พาณิชย์ การนำเข้าจะน้อยลง ประเทศประหยัดเงินตรา เพราะที่ผลิตได้ในประเทศเป็นเพียง 15% ของการใช้ทั้งหมดผู้ใช้น้ำมันจ่ายเงินน้อยลงเพราะใช้ปริมาณลดลงและไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
ดังนั้น ดิฉันจึงเห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.คู่ขนานของคณะกรรมาธิการด้านพลังงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ให้กองทุนฯมีสถานะเป็นจำนวนเงินสูงสุดได้ไม่เกิน 40,000 ล้านบาท และเป็นหนี้ได้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาทเป็นการตีกรอบดุลพินิจที่เพียงพอแล้ว
ที่เปรียบเทียบว่าเป็นกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาของผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ก็เพราะเงินกองทุนฯช่วยลดราคาให้ประโยชน์ผู้ใช้ในน้ำมันขาขึ้น แต่จะถูกเก็บคืนจากผู้ใช้กลุ่มเดียวกันในอีกช่วงขาลง
ดังนั้น พ.ร.บ. จึงควรห้ามเก็บเงินอุดหนุนข้ามผลิตภัณฑ์เพราะโยกเงินจากกระเป๋าคนกลุ่มหนึ่งไปให้อีกกลุ่ม ดังเช่นที่เคยเก็บจากเบนซินและแก๊สโซฮอลไปพยุงราคา LPG ซึ่งไม่เป็นธรรมระหว่างกลุ่มผู้ใช้ กอปรกับนโยบาย LPG หลายราคายังทำให้เกิดการใช้ผิดประเภท และลักลอบส่งออกมากมาย
นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงควรดำเนินการภายในกรอบของการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพราะเขาไม่ได้รับประโยชน์จากการรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง
วัตถุประสงค์ที่ 2 ส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น แก๊สโซฮอล และไบโอดีเซล “ให้มีส่วนต่างราคาที่สามารถแข่งขันกับน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมได้” ควรส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพเพราะผลิตได้เองภายในประเทศช่วยเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน และยังช่วยให้สินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องราคาดีขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีกลไกอื่นที่สามารถใช้ได้
แม้การใช้เงินกองทุนฯ ทำให้ราคาเชื้อเพลิงชีวภาพต่ำลงเพื่อจูงใจผู้ใช้ จะไม่ใช่กระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาของผู้ใช้แต่ละคน แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เดียวกัน ที่สำคัญมาตรการส่งเสริมต้องใช้หลักเกณฑ์ที่จูงใจให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพด้วย
วัตถุประสงค์ที่ 3 “บรรเทาผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้มีรายได้น้อย..” ถือว่าเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์แรกแต่มาตรการต้องไม่บิดเบือนกลไกตลาดและรัฐต้องเน้นนโยบายอื่นๆ ที่สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้เขาเหล่านั้นด้วย
วัตถุประสงค์ที่4 “ลงทุนการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์” ควรตัดออกไปเพราะจะทำให้กองทุนฯกลายเป็นภาษีที่ให้เอกชนเก็บสำรองทางยุทธศาสตร์มาตลอดนั้น น่าจะเป็นวิธีที่ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งต้นทุนที่จะเกิดกับผู้บริโภคก็จะต่ำสุด แต่ถ้ารัฐจัดซื้อจัดจ้างเองรังแต่จะเพิ่มความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล
วัตถุประสงค์ที่5 “ลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิงในกิจการของรัฐ” ควรตัดเช่นกัน เพราะจะทำให้กองทุนน้ำมันกลายเป็นภาษีและมีกลไกอื่นที่มีความเหมาะสมกว่าอยู่แล้ว
ถ้ารัฐจะต้องทำก็น่าจะทำผ่านงบประมาณแผ่นดินที่มีระบบตรวจสอบต่างๆ แต่อะไรที่รัฐไม่จำเป็นต้องทำเองก็ไม่ควรทำ เช่น โครงการสร้างท่อน้ำมันขึ้นเหนือและอีสาน หากเอกชนทำได้เพราะคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ก็ควรให้ทำไป หากไม่ได้ทั้งๆ ที่รัฐส่งเสริมแล้ว ย่อมแปลว่าโครงการนั้นๆ ไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์สำหรับประเทศ รัฐฝืนทำเองก็สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
ขอชื่นชมที่ร่างของ สปท.ไม่มีวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมาะสม เพราะการให้รัฐมีบทบาทและดุลยพินิจมากเกินจำเป็นเป็นการปฏิรูปถอยหลัง!




