The Fourth Industrial Revolution (3): Bitcoin และ Blockchain

The Fourth Industrial Revolution (3): Bitcoin และ Blockchain

หนึ่งในการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้านการเงินที่ต้องกล่าวถึง คือ Bitcoin และ Blockchain โดยในปัจจุบัน

กระแสข่าวทั้งทางด้านบวกและลบของทั้งสองสิ่งทำให้สาธารณชนเกิดความสับสนในทั้งสองสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคำจำกัดความ ความแตกต่าง ประโยชน์และความเสี่ยง บทความนี้จึงขอสรุปภาพรวม รวมถึงความเสี่ยงและโอกาสที่ทั้งสองสิ่งจะปฏิวัติภาคการเงินในอนาคต ดังนี้

Bitcoin คือเงินตราอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการทำธุรกรรมในอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก โดยไม่มีหน่วยงานใดเป็นผู้ออก Bitcoin อย่างเป็นทางการ แต่เกิดจากแนวคิดของโปรแกรมเมอร์ผู้หนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ผู้ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงได้ว่าเป็นใคร

หลักการคือ คุณ Nakamoto ได้คิดค้น Code หรือคำสั่งในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ใช้เป็นสกุลเงิน สามารถใช้ทำธุรกรรมในอินเทอร์เน็ตได้ และหากนักคอมพิวเตอร์ (ที่เรียกกันว่า Miner หรือนักขุด) ผู้ใดสามารถถอดรหัสได้ดังกล่าวได้ ก็จะได้ Bitcoin ที่ออกใหม่เป็นรางวัล

แต่หน้าที่ของ Miner ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะการจะ “ขุด” Bitcoin ได้ จะต้องใช้เทคนิคขั้นสูงในการประมวลผลและเก็บข้อมูลของการใช้ Bitcoin ของทุกคนทั่วโลก และนอกจากนั้นยังต้องให้การอนุมัติทุกธุรกรรมในการใช้ Bitcoin เหล่านั้น ซึ่งวิธีอนุมัติคือการที่คอมพิวเตอร์ของทุกๆ Miner จะต้องตกลงกันว่าจะเขียน Code เพิ่มและต่อท้าย Bitcoin ทุกเหรียญที่ได้ใช้ไปในธุรกรรมนั้นๆ

กระบวนการนี้จะทำสำเร็จก็ต่อเมื่อคอมพิวเตอร์ของทุก Miner ทุกเครื่องที่มีอยู่ในโลกนี้ (คาดว่ามีประมาณ 1 หมื่นเครื่อง) จะต้องเห็นร่วมกันว่าจะเขียน Code ใดเพิ่มต่อท้าย Bitcoin เดิมที่มีอยู่ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะถูกเรียกว่า Blockchain

กล่าวอย่างง่าย Blockchain เป็นกระบวนการในการปฏิบัติการในการทำธุรกรรม Bitcoin หนึ่งๆ (หรือศัพท์ทางการเงินเรียกว่า กระบวนการหลังบ้าน”) กล่าวคือ เมื่อใดที่เกิดธุรกรรม Bitcoin ขึ้น เช่น นาย A โอนเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ (ที่เรียกกันว่า Wallet) 1 Bitcoin ให้นาย B ระบบจะส่งคำสั่งนี้ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Miner ทุกคนบนโลก เพื่อให้อนุมัติและเห็นร่วมกัน (อย่างน้อย 51% ของคอมพิวเตอร์ Miner ทั้งหมด) ก่อนธุรกรรมนั้นจะสำเร็จ และในทางกลับกัน การที่คอมพิวเตอร์ของ Miner ต้องคอยอนุมัติ รวมถึงเก็บบันทึกในการทำธุรกรรมเหล่านั้น Miner ทุกคนก็จะได้ Bitcoin ที่ออกใหม่เป็นผลตอบแทน

กระบวนการที่ยุ่งยากเหล่านี้มีข้อดีคือทำให้นักโจรกรรมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือ Hacker ไม่สามารถเข้าไปแก้และทำการโจรกรรม Bitcoin ได้โดยง่าย เพราะต้องโจรกรรมหรือ Hack คอมพิวเตอร์ถึงกว่า 5,000 เครื่องเป็นอย่างน้อย ธุรกรรมที่ใช้ Bitcoin จึงค่อนข้างปลอดภัย เว้นเสียแต่ว่า Hacker จะ Hack เวปไซต์ที่ให้บริการกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ (Wallet) ดังที่เคยเกิดแล้วในกรณีเวปไซต์ Mt. Gox ที่ให้บริการ Wallet และเคยถูก Hack เมื่อปี 2557

แต่ข้อเสียสำคัญของกระบวนการดังกล่าว ทำให้การอนุมัติแต่ละธุรกรรมค่อนข้างล่าช้า โดยเฉลี่ย 7 ธุรกรรมต่อ 1 วินาที ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับคู่แข่งแบบดั้งเดิมอย่างบัตรเครดิต VISA ที่สามารถดูแลได้ถึงหลายหมื่นธุรกรรมต่อวินาที

นอกจากนั้น การที่ปริมาณ Bitcoin ที่ออกใหม่ถูกจำกัดด้วยกระบวนการ Blockchain ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ (เนื่องจากปริมาณ Code ที่ต่อท้ายทุกๆ Bitcoin มีมากขึ้นตามจำนวนธุรกรรมที่ Bitcoin นั้นๆ เคยผ่านมา) ทำให้ปริมาณของ Bitcoin ออกใหม่มีจำกัด จึงกลายเป็นจุดแข็งของ Bitcoin คือไม่ทำให้เกิด “เงินเฟ้อ” เนื่องจากจำนวน Bitcoin ที่ออกใหม่น้อยกว่าความต้องการใช้เสมอ

แต่จุดแข็งดังกล่าวก็นำไปสู่จุดอ่อนที่สำคัญ คือทำให้มูลค่าของ Bitcoin ถูกเก็งกำไรได้ง่าย กล่าวคือ เมื่อใดที่ตลาดเห็นว่าศักยภาพในการเติบโตของ Bitcoin มีสูงในอนาคต ก็จะเข้าไปทำการซื้อ Bitcoin เหล่านั้นเพื่อเก็งกำไร ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น โดยเคยทำสถิติถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 Bitcoin ในปี 2556

แต่เมื่อใดที่เกิดเหตุที่ทำลายความเชื่อมั่นเหล่านั้น (เช่นกรณี Mt. Gox) จะทำให้ผู้คนแห่เทขาย Bitcoin ทำให้ราคาตกลงเหลือไม่ถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 Bitcoin ในปีถัดมา

นอกจากนั้น ประเด็นถกเถียงหลักที่เหล่า Miner และโปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนา Bitcoin ยังตกลงกันไม่ได้คืออนาคตของ Bitcoin ว่าจะเป็นอย่างไร กล่าวคือ หนึ่ง จะให้คงคุณลักษณะแบบปัจจุบันที่คล้ายกับทองคำ คือยิ่งระยะเวลาผ่านไป การขุดค้น (Mine) Bitcoin ก็จะทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทองคำที่ยิ่งขุดยากขึ้น ซึ่งจะทำให้ Bitcoin ยังคงคุณค่าอยู่ แต่การใช้งานก็จะไม่แพร่หลาย

หรือ สอง จะสร้างโปรแกรมใหม่ๆ เพื่อให้การอนุมัติธุรกรรม Bitcoin ทำได้ง่ายขึ้น ใช้เวลารวดเร็วขึ้น ซึ่งก็จะมาพร้อมกับรางวัลที่ Miner จะได้ (ซึ่งก็คือ Bitcoin ที่ออกใหม่นั่นเอง) ซึ่งกระบวนการเช่นนี้จะทำให้ Bitcoin กลายเป็นดั่งเงินสกุลต่างๆ ในปัจจุบันที่ธนาคารกลางต่างๆ เป็นผู้พิมพ์ ซึ่งปริมาณเงินแต่ละสกุลจะมีมากขึ้นกี่มากน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงินตราสกุลนั้นๆ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้แม้จะทำให้การใช้ Bitcoin แพร่หลายขึ้นแต่ก็อาจนำมาซึ่งเงินเฟ้อเช่นกัน

เมื่อยังตกลงกันไม่ได้เช่นนี้ ทำให้โอกาสที่เงินสกุลนี้จะเติบโตในอนาคตก็เป็นไปได้ยาก แต่กระนั้นก็ตาม แม้ว่าอนาคต Bitcoin จะยังไม่สดใส แต่ในปัจจุบันมีผู้สนใจนำเทคโนโลยี Blockchain ที่มาประยุกต์กับเรื่องอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะประเด็นการจดบันทึกของธุรกรรมต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่จำเป็นต้องจดบันทึกในธนาคารเดียว แต่เป็นการแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างทุกธนาคารสมาชิก

หรือจะเป็นการแบ่งปันข้อมูลในการทำธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น เพชร ที่จะทำให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น หรือแม้แต่แนวคิดต้นแบบของการทำ e-payment ที่ทางการของประเทศต่างๆ รวมถึงกระทรวงการคลังของไทยที่ให้ความสนใจมากขึ้น เพราะหากสามารถทำได้ จะทำให้ความจำเป็นในการถือธนบัตรหมดไป ไม่ต้องเปลืองต้นทุนการพิมพ์ธนบัตร และยังสามารถสืบค้นการทำธุรกรรมในอดีตได้ง่ายอีกด้วย สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของการต่อยอดแนวคิด Blockchain ที่เป็นไปได้ในอนาคต

โฉมหน้าใหม่ของระบบการเงินโลกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว นักธุรกิจ นักลงทุน รวมถึงทางการไทย พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้แล้วหรือยัง