The Winner’s Curse: เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

The Winner’s Curse: เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

การที่บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ผิดนัดไม่มาชำระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตช์ (4G)

งวดแรกที่คิดเป็นเงิน 8,040 ล้านบาทพร้อมหนังสือค้ำประกันวงเงิน 75,654 ล้านบาทให้กับทาง กสทช. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 นั้น นอกจากจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือเคยได้รับอานิสงส์จากกระแสความสำเร็จของการประมูลคลื่น 4G ในครั้งที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังอาจมีโอกาสจะกลายเป็นกรณีศึกษาของ “The Winner’s Curse” ในไทยได้เช่นกัน

คำว่า “The Winner’s Curse” เป็นศัพท์ที่ใช้กันในแวดวงวิชาการด้านการศึกษาออกแบบวิธีการประมูลแข่งขันชนิดต่างๆ ซึ่งรวมถึงการประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคมด้วย โดยมีความหมายถึงกรณีที่ ผู้ชนะการประมูลกลายเป็นผู้ที่เสนอราคาประมูลใบอนุญาตที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของคลื่นนั้นๆ  (ซึ่งอาจเนื่องมาจากการคาดการณ์ของสังคมเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่รุ่งโรจน์มากเกินไปจนกลายเป็น telecommunication ‘bubble’ เป็นต้น) จึงอาจมีผลย้อนกลับไปสร้างปัญหาให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ เองในระยะยาวและรวมถึงความเสียหายที่จะเกิดตามมากับผู้ใช้บริการคลื่นโทรศัพท์เหล่านั้น และอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเองในอนาคตได้

ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะคล้ายๆ หรือใกล้คียงกันนี้ ก็เคยเกิดมาก่อนแล้วในต่างประเทศที่มีการเสนอราคาประมูลที่น่าจะเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น กรณีการประมูลคลื่นโทรศัพท์ 3G ในประเทศอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.2000 ที่มีผู้ประมูลเสนอราคาใบอนุญาตใช้คลื่นที่สูงกว่าการคาดการณ์เบื้องต้นของฝ่ายรัฐบาลอังกฤษในขณะนั้น (ดูบทความของ John Cable and others เรื่อง Pot of Gold or Winner’s Curse ใน Fiscal Studies, Vol. 23. No. 4 (2002) pp.447-462) ส่วนหนึ่งของคำอธิบายในเรื่องเหล่านี้ก็คือว่า ผู้ชนะการประมูลในต่างประเทศในกรณีตัวอย่างของการประมูล 3G ในอดีต อาจใช้ยุทธศาสตร์แบบ “win-at-any-cost” เพราะเป็นผู้ให้บริการรายเดิมๆ ในระบบ 2G อยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อตนเองชนะการประมูลแล้ว ก็จะพยายามใช้วิธีการต่างๆ ในการถ่วงเวลาการจ่ายเงินค่าใบอนุญาตและถ่วงเวลาการให้บริการ 3G ออกไป เพราะเป็นรายเดิมที่ให้บริการในระบบ 2G อยู่แล้วเป็นต้น (ดูบทความของ Manas Bhattacharya ใน Economic and Political Weekly, Vol.43, No.37, (2008) p.36) จึงเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การได้มาซึ่งราคาประมูลที่สูงมากๆ จนเกินคาดหมายนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นความสำเร็จของประเทศโดยรวมเสมอไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า ไม่จำเป็นว่าสังคมโดยรวมจะได้รับสวัสดิการสังคมที่สูงสุดเสมอไปด้วยนั่นเอง    

คำถามที่เราควรจะต้องทบทวนก่อนที่จะพูดถึงระดับราคาตั้งต้นของการประมูลในรอบใหม่ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมนั้น เราก็น่าที่จะต้องตอบคำถามต่อไปนี้ก่อนว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และใครเป็นคนทำ” เนื่องจากว่า มันสัมพันธ์โดยตรงกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย กล่าวคือ

ผู้ที่เกี่ยวข้องและหนีไม่พ้นความรับผิดชอบโดยตรงรายแรก ก็คือตัวผู้ชนะการประมูลเองที่ได้เสนอราคาประมูลที่สูงมากตั้งแต่ต้น แม้ว่าอาจจะมีเหตุผลที่เข้าใจได้ว่ายังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการควบคุมของตัวผู้ชนะการประมูล ที่มีส่วนสำคัญทำให้ไม่สามารถมาจ่ายเงินค่าใบอนุญาตในงวดแรกพร้อมหนังสือค้ำประกันวงเงินทั้งหมดได้ทันเวลาก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนทั่วไป จะต้องหาทางป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ไว้ตั้งแต่ต้นให้เพียงพออยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ภาพลักษณ์ของผู้ชนะการประมูลที่เคยถูกมองว่าจะเป็นผู้แข่งขันรายใหม่ที่เข้ามาช่วยให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ กลับกลายเป็นผู้ที่หลายฝ่ายในสังคมอาจคิดว่าควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบไปเกือบทุกเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ถึงขนาดของความเสียหายทั้งหมดในขณะนี้

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเลือกวิธีการประมูล รวมทั้งหน่วยงานที่ควบคุมการประมูลในครั้งที่ผ่านมาก็หนีความรับผิดชอบในครั้งนี้ไม่ได้เช่นกัน ถ้ายังจำกันได้ ในช่วงที่การประมูลครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ เพราะสามารถจะทำรายได้เข้ารัฐเป็นจำนวนมหาศาลนั้น ฝ่ายที่ควบคุมดูแลการประมูลก็ได้แสดงความมั่นใจว่าวิธีการประมูลที่ใช้ในครั้งที่ผ่านมานั้น นอกจากว่าจะช่วยทำรายได้เข้ารัฐจำนวนมากแล้ว ก็ยังได้ช่วยให้เกิดมีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่การแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นด้วย แต่สิ่งที่น่าจะมีการตั้งคำถามเพื่อถกเถียงกันในหมู่ผู้ออกแบบและควบคุมกันประมูลตั้งแต่แรก ก็คือว่า การประมูลที่ก่อให้เกิดการแข่งขันสูงจนทำให้รัฐได้รายได้จำนวนมากนี้นั้น ถือเป็นวิธีการประมูลที่เหมาะสมที่สุดด้วยหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นวิธีการประมูลที่ทำให้สังคมโดยรวมได้สวัสดิการสังคมที่สูงสุดด้วยหรือไม่ ผู้เขียนได้เขียนบทความเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2559 เรื่อง “ความซับซ้อนของเงื่อนไขการแข่งขัน” และได้ยกตัวอย่างวิธีการประมูลแบบอื่นมาใช้เปรียบเทียบให้เห็นจุดแข็งจุดอ่อนระหว่าง วิธีการประมูลที่มีการเปิดประมูลติดต่อกันหลายครั้งต่อเนื่อง และมีจำนวนใบอนุญาตที่น้อยกว่าจำนวนผู้เข้าประมูลในแต่ละครั้งเหมือนที่ผ่านมา หรือว่าควรจะเป็นกรณีที่ให้เปิดประมูลเพียงครั้งเดียวซึ่งจะทำให้มีจำนวนใบอนุญาตที่มากกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลในครั้งนั้นได้ เป็นต้น และวิธีไหนจะให้สวัสดิการสังคมที่สูงสุดกันแน่ เป็นต้น(ดูรายละเอียดที่  http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/636610)

ซึ่งหากที่ผ่านมามีความรัดกุมในการปิดช่องโหว่ระหว่างจุดดีจุดด้อยของแต่ละวิธีอย่างครบถ้วนแล้ว ก็อาจจะทำให้ฉุกคิดได้ก่อนว่า ควรจะได้มีการเขียนเงื่อนไขให้ชัดเจนว่า ในกรณีสุดวิสัยที่มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ผู้ชนะอาจทิ้งชัยชนะจากการประมูลแล้ว เราจะมีการเตรียมรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ เช่น อาจให้มีการระบุอย่างชัดเจนไว้ตั้งแต่ต้นก่อนการประมูลว่า หากเกิดกรณีที่ผู้ชนะไม่สามารถชำระเงินค่าใบอนุญาตได้แล้ว ก็จะเลื่อนผู้ที่เสนอราคาประมูลสูงสุดในระดับรองลงมาเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตแทนทันที เป็นต้น หรือควรจะตั้งต้นราคาประมูลที่เท่ากับที่ผู้ชนะคนก่อนได้เสนอไว้หรือไม่อย่างไร หรือจะมีผู้ประมูลรายใหม่สนใจเข้ามาประมูลหรือไม่ และวิธีไหนจะเป็นธรรมหรือมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ทางหน่วยงานผู้ควบคุมการประมูลได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศทางด้านการประมูลคลื่นความถี่เพื่อมาดูแลเรื่องวิธีการประมูลโดยตรงอยู่แล้ว แต่ก็ยังเกิดช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นจนได้

สุดท้าย คือกลุ่มนักวิชาการไทยจำนวนไม่น้อยที่มีความสนใจศึกษาปัญหาเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เสียดายที่นักวิจัยไทยไม่ได้มีโอกาสทำงานวิจัยพื้นฐานเหล่านี้อย่างจริงจังเท่ากับในต่างประเทศ เพื่อสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการออกแบบวิธีการประมูลที่เหมาะสมเพื่อพยายามตอบคำถามที่มีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังเป็นปริศนาอยู่ในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าขาดการสนับสนุนทางด้านการวิจัยที่เหมาะสมเพียงพอเพื่อสร้างงานผลงานวิจัยพื้นฐานอย่างแท้จริง เพราะนักวิชาการมักจะเจอกับคำถามในลักษณะที่ว่าการวิจัยพื้นฐานแบบนี้ที่เน้นเทคนิควิธีการทางคณิตศาสตร์ของเกมนี้ (หรือนักวิจัยหอคอยงาช้าง) จะนำไปใช้กับปัญหาของสังคมไทยได้จริงหรือบ้างหละ หรือไม่ในทางกลับกัน ก็จะถูกตั้งข้อสงสัยว่าแล้วจะเก่งเท่าผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศหรือไม่บ้างหละ ซึ่งมายาคติเหล่านี้นี่เองที่ทำให้พวกเรา “มาถึงจุดนี้กันได้นั่นเอง”

ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของความซับซ้อนที่เกิดจากเงื่อนไขของการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน…….ไม่ว่าเราจะเข้าใจมันได้ดีหรือไม่ก็ตาม